1
ในวันคล้ายวันเกิด ปี 2525 พ่อซื้อหนังสือให้ผมเล่มหนึ่ง
เป็นหนังสือปกแข็งสีแดงเข้ม หน้าปกไม่มีอะไรนอกจากพระปรมาภิไธย
เป็นหนังสือรวมเพลงพระราชนิพนธ์ที่บรรจุทุกเพลงครบถ้วน และทำให้ผมดีใจมาก เพราะปีนั้นผมเริ่มเรียนดนตรีอย่างอิเล็กโทน และพวกเพื่อนๆ ที่เป็นนักดนตรี ทั้งที่โรงเรียนดนตรี และในวงดุริยางค์ของโรงเรียน ชอบพูดคุยกันเสมอๆ ถึง ‘คอร์ด’ ของเพลงพระราชนิพนธ์ ซึ่งมีความซับซ้อน ไม่เหมือนกับคอร์ดเพลงโดยทั่วไป และทางดำเนินคอร์ดก็น่าสนใจยิ่ง แม้บางเพลงจะเริ่มต้นด้วยคอร์ดที่ง่ายที่สุด (เช่นเพลง ‘แว่ว’ หรือ Echo) แต่แล้วก็จะพัฒนาไปจนซับซ้อนเสมอ บทเพลงพระราชนิพนธ์จึงเป็นเสมือนขุมความรู้ในทางดนตรีสำหรับนักเรียนดนตรีที่หาที่ไหนไม่ได้ การได้หนังสือเล่มนั้นไว้ในครอบครอง ทำให้ผมได้เรียนรู้มากมายมหาศาลนัก
อย่างไรก็ตาม หนังสือรวมเพลงพระราชนิพนธ์เล่มนั้นไม่ได้มีเพียงโน้ตดนตรี คอร์ด และเนื้อเพลงเท่านั้น ทว่ายังเต็มไปด้วยพระบรมฉายาลักษณ์ มีหลายต่อหลายภาพมากที่เมื่อได้เห็นแล้วผมรู้สึกได้ถึง ‘ความรัก’ ของพระองค์ท่านที่มีต่อดนตรีอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นภาพที่ ‘ในหลวง’ (ซึ่งปัจจุบันต้องใช้คำที่ผมยังไม่คุ้นชินเลยจริงๆ-ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ) ทรงเปียโน แล้วมีแมวตัวหนึ่งนั่งอยู่ด้านบน ภาพที่พระองค์ท่านทรงถือดินสอขีดเขียนบางอย่างลงไปบนกระดาษคล้ายกำลังทรงประพันธ์เพลง แต่ภาพที่ทำให้ผมตื่นตะลึงอย่างยิ่ง-ก็คือภาพพระองค์ท่านทรงอิเล็กโทนบนเวที เพราะในยุคสมัยนั้น อิเล็กโทนเป็นของใหม่ และเราอาจคุ้นเคยกับภาพพระองค์ท่านทรงแซกโซโฟนมากกว่าเครื่องดนตรีอื่น ภาพการทรงอิเล็กโทนจึงเป็นภาพที่ผมคิดไม่ถึง และหยิบหนังสือเล่มนั้นมาเปิดดูครั้งละนานๆ
หนังสือเล่มจึงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนดนตรีชั้นประถมหกตัวเล็กๆ คนหนึ่งในหลายต่อหลายด้าน
2
ภาพของการเล่นดนตรีที่มีความสุขที่สุด และผมจำได้ไม่เคยลืม คือเมื่อตัวเองย้ายอิเล็กโทนเข้าไปไว้ในห้องนอน
ตอนนั้น ห้องนอนของผมเป็นห้องเดียวของบ้านที่มีระเบียง ถัดจากระเบียงออกไปคือทุ่งนากว้างไกลเขียวขจีที่ไปสิ้นสุดลงตรงธารน้ำใส
วันหนึ่ง ฝนโปรยลงมา เป็นวันที่ประหลาดอย่างยิ่ง เพราะแม้ฝนจะตก แต่ไม่ใช่ตกอย่างกระหน่ำหนัก เป็นการพรำสายแผ่วเบาอ่อนโยนเหมือนเสียงดนตรีในตัวเอง และมีแสงแดดอ่อนๆ อาบไล้ทุ่งนาสีเขียวอ่อนเพิ่งระบัดใบใหม่นั้น ริ้วของสายลมโอบกอดนาข้าว ก่อเกิดระลอกคล้ายคลื่นรื่นเริง กวาดจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งเหมือนการเต้นรำ
เป็นตอนนั้นเอง ที่ผมหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา วางลงไปบนอิเล็กโทน แล้วเล่นเพลงเพลงหนึ่ง
เพลงพระราชนิพนธ์ ‘สายฝน’
สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวทุ่ง
แดดทอรุ้งอร่ามตา
รุ้งเลื่อมลายพร่างพรายนภา
ยามเมื่อฝนมาแต่ไกล
พระพรหมช่วยอำนวยให้ชื่นฉ่ำ
เพื่อจะนำดับความร้อนใจ
น้ำฝนหลั่งลงมาจากฟ้าแดนไกล
พืชพรรณไม้ชื่นยืนยง
ชั่วขณะนั้น บางสิ่งได้เติมเต็มอยู่ภายใน เป็นความรู้สึกทั้งยกย่อง ยำเยง แต่ก็เต็มตื้นและสดชื่น คล้ายเสียงดนตรีนั้นได้สร้างพลังให้เกิดขึ้นภายในอย่างที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยง่าย
บางครั้งสายฝนก็ทำให้มนุษย์น้ำตาไหล
3
เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ผมมีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรีมหาวิทยาลัย ในตอนนั้น ผมไม่ได้คิดอะไรมาก คิดเพียงว่าการเป็นนักร้องและนักดนตรีของมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องสนุก และชมรมเล็กๆ ของเราก็คงไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรนักหนาหรอก
แต่เมื่อเข้าไปในห้องซ้อมดนตรี ท่ามกลางความรกเรื้อไร้ระเบียบของโน้ตเพลงและเครื่องดนตรี ผมเห็นภาพหนึ่งติดไว้บนผนังด้านบน
เป็นภาพที่ ‘ในหลวง’ (หรือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ-ทุกครั้งที่เขียนคำนี้ ผมยังรู้สึกทำใจไม่ได้) กำลังทรงดนตรีร่วมกับรุ่นพี่ในวง ซึ่งเอาเข้าจริงล้วนเป็นนักศึกษาธรรมดาๆ แน่นอน ภาพนั้นเกิดขึ้นก่อนผมจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหลายสิบปี
ผมคิด-พวกเขาช่างมีโอกาสแสนงามที่ได้ถวายการเล่นดนตรีร่วมกับพระมหากษัตริย์
เมื่อเห็นภาพนั้น ความรู้สึกเดิมที่เคยเกิดขึ้นในห้องริมทุ่งกว้างแห่งนั้น-ก็ได้ผุดพรายขึ้นอีกครั้ง
ยำเยง ยกย่อง ทว่าเต็มตื้นและสดชื่น…
4
ใครๆ ก็รู้ว่า บทเพลงพระราชนิพนธ์นั้นมีกลิ่นอายความเป็นแจ๊ซเต็มที่ เพราะพระองค์ท่านโปรดปรานแจ๊ซในแบบนิวออร์ลีนส์ หรือดิ๊กซี่แลนด์แจ๊ซ
หัวใจของแจ๊ซไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากการ ‘ด้น’ หรือ improvise
การ improvise นั้น ไม่ใช่แค่ฝึกหนัก เล่นเก่ง หรือมีฝีมือในทางการเล่นก็จะเล่นได้ แต่ยังต้องฝึกหนักในวิธีคิดทางดนตรีอีกด้วย เช่น ต้องช่ำชองคุ้นชินอย่างยิ่งกับคอร์ดประเภทต่างๆ นับพันๆ คอร์ด เพื่อจะสร้างเมโลดี้ขึ้นได้ฉับพลันทันทีให้สอดคล้องหรือขัดแย้งไปกับคอร์ด ณ ช่วงเวลานั้นๆ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ นักดนตรีมีเวลาครุ่นคิดว่าจะสื่อสารอะไรออกมาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น การ improvise จึงเป็นเรื่องยากมากถึงยากที่สุด
เมื่อเรียนจบและทำงานแล้วได้ระยะหนึ่ง ผมจึงเพิ่งเรียนรู้ว่า วงดนตรีแจ๊ซที่ทรงโปรดวงหนึ่ง มีชื่อว่า Preservation Hall Jazz Band เป็นวงดนตรีแบบบิ๊กแบนด์แจ๊ซจากนิวออร์ลีนส์ ครั้งหนึ่ง วงดนตรีนี้มีโอกาสมาเล่นถวายต่อหน้าพระที่นั่ง ในตอนนั้น โปรดเกล้าฯ ให้วงดนตรีนี้เปิดทำเวิร์คช็อพสำหรับนักศึกษาด้านดนตรีด้วยเพื่อพัฒนาวงการดนตรีแจ๊ซของไทย ผมในฐานะคนทำงานข่าว มีโอกาสไปทำข่าวการเวิร์คช็อพครั้งนั้น และก็เช่นเคย ผมตื่นตะลึงไปกับฝีมือการเล่นดนตรีของนักดนตรีในวง (ที่อายุมากแล้ว) โดยเฉพาะกับมือเปียโน เมื่อเขาสอนให้เหล่านักศึกษาเล่น Ragtime อันเป็นดนตรีที่เราคนไทยอาจไม่เคยคุ้น รวมไปถึงการสอนถึงกรูฟแบบสวิง และเทคนิคในการเล่นขั้นสูงต่างๆ
เมื่อเสร็จสิ้นการเวิร์คช็อปแล้ว ผมประทับใจมาก จึงกลับมาเสิร์ชหาคลิปของวงดนตรีนี้ และค้นพบด้วยความตื่นตะลึงเป็นทบเท่าทวีคูณ เมื่อพบว่ามีคลิปที่ ‘ในหลวง’ เคยทรงดนตรีร่วมกับวงดนตรีระดับโลกวงนี้ด้วย โดยเป็นช่วงที่พระองค์ท่านทรง improvise
จำได้ว่า ผมนั่งดูคลิปซ้ำๆ หลายต่อหลายรอบ แล้วคลิปนั้นก็นำทางผมกลับไปสู่บ้านหลังเล็กริมทุ่งกว้างสีเขียวแห่งนั้น พร้อมความรู้สึกเดิมที่ผุดขึ้นอีกครั้ง
ความรู้สึกยำเยง ยกย่อง ทว่าเต็มตื้นและสดชื่นอย่างยิ่ง
5
ครั้งหนึ่ง ผมตะลุยทำสารคดีเรื่องแม่น้ำชายแดน และพลัดพลั้งข้ามฝั่งไปยังดินแดนเพื่อนบ้าน ดินแดนอันเต็มไปด้วยความขัดแย้ง การสู้รบ และความตาย ที่ซึ่งร่างไร้ชีวิตของผู้คนกล่นเกลื่อนลอยมาตามน้ำแทบทุกวัน
ผมเข้าไปในโรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาลที่อยู่ใจกลางการสู้รบ ที่ซึ่งหมอคนหนึ่งประจำการอยู่ที่นั่น เหมือนภาพฝัน เหมือนภาพยนตร์ เหมือนเรื่องไม่จริง
ในห้องทำงานของหมอคนนั้น-หมอที่เป็นคนต่างชาติ, มีภาพของ ‘ในหลวง’ ติดอยู่ เป็นภาพเมื่อพระองค์ท่านเสด็จฯ ออกในคราวเหตุการณ์เดือนพฤษภาคมปี 2535
ผมจำอะไรได้ไม่ชัดนัก เพราะการเดินทางครั้งนั้นเกิดขึ้นเนิ่นนานมาแล้ว แต่ที่ยังชัดเจนในความรู้สึก ก็คือวันนั้นฝนพรำสายใต้ฟ้าหม่น ทุกอย่างเป็นสีเทาเยียบเย็น และหมอคนนั้นบอกผมด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า-ถ้าเพียงแต่เรามีพระเจ้าแผ่นดินเหมือนพระเจ้าแผ่นดินของคุณ ความขัดแย้งของเราก็จะไม่หนักหนาขนาดนี้
6
พ่อของผมเสียชีวิตตอนผมเรียนอยู่ปี 3 อย่างค่อนข้างกะทันหัน ผมจึงไม่มีโอกาสบอกขอบคุณที่พ่อซื้อหนังสือเล่มนั้นให้
ตอนที่พ่อเสีย ผมอยู่ในวงดนตรีของมหาวิทยาลัย และกำลังออกจากหอพักเพื่อไปซ้อมดนตรีในช่วงเย็น แต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้นเพื่อแจ้งข่าวร้าย
แวบนั้น ผมนึกถึงพ่อ นึกถึงหนังสือเล่มนั้น และนึกถึงเพลงพระราชนิพนธ์อีกเพลงหนึ่ง
ไม่ใช่ ‘สายฝน’ แต่คือเพลงพระราชนิพนธ์ ‘สายลม’ ผมนึกถึงเพลงนี้เกือบตลอดทางที่นั่งรถจากมหาวิทยาลัยกลับบ้าน
ท่ามกลาง ฟากฟ้า มัวหม่น
ลิ่วลม หลั่งฝน โปรยทั่ว
เยือกเย็น ชีพเฉา เมามัว
จิตใจไหวหวาดกลัว
หวั่นฟ้าคำราม…ลั่น
ในตอนนั้น การจากไปของพ่อเป็นเรื่องเศร้าของเด็กคนหนึ่ง แต่ในตอนนี้ การเสด็จฯ สู่สวรรคาลัยของ ‘พ่อ’ แห่งแผ่นดิน คือเรื่องเศร้ายิ่งใหญ่ของคนทั้งปวง
ผมเขียนสิ่งนี้ขึ้น เพื่อน้อมถวายความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย และรู้ตัวเลยว่า-ต่อให้พยายามมากเพียงใด นี่ก็ไม่อาจเป็นงานเขียนที่บอกเล่าความรู้สึกทั้งหมดออกมาได้
เพราะเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกิน-ที่จะเขียนสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปพร้อมกับการกลั้นน้ำตา
แม้ผมพยายามรื้อฟื้นความรู้สึกนั้นขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกในวัยเด็กกับภาพของทุ่งกว้างสีเขียวที่กำลังเริงระบำอยู่ในสายฝน ความรู้สึกยำเยง ยกย่อง ทว่าเต็มตื้นและสดชื่นเหล่านั้น,
แต่ยิ่งรื้อฟื้นก็ยิ่งใจหาย-ใจหายอย่างที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะใจหายได้ถึงเพียงนี้
นี่คงเป็นความรู้สึกเดียวกับผู้คนอีกมากมาย
ขอถวายคำที่คุ้นเคยและแนบชิดอยู่ในหัวใจผู้คนมายาวนานที่สุด คือคำว่า ‘ในหลวง’ อีกครั้ง, ขอน้อมถวายความอาลัย และส่งเสด็จฯ ‘ในหลวง’ ของเรา-สู่ดินแดนอันเต็มไปด้วยเสียงดนตรีแจ๊ซที่ทรงโปรดชั่วนิรันดร์