เวลา 18.15 น. ของวันนี้ (23 มกราคม) วิโรจน์ ลักขณาอดิศร แคนดิเดตลงชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ขึ้นปราศรัยในงานเปิดตัวแคนดิเดตนี้ว่า ตนพร้อมจะชนทุกปัญหาที่คนกรุงเทพฯ เผชิญมา
“หลายคนสงสัยทำไมต้องชน ทำไมไม่ร่วมมือ ทำไมไม่ประสาน ผมขอถามกลับว่า กับส่วยกรุงเทพฯ จะให้ร่วมมือยังไง ต้องชนและกำจัดอย่างเดียว”
วิโรจน์กล่าวว่า ถ้าเราสามารถกำจัดส่วยกรุงเทพฯ ได้ กรุงเทพฯ จะดีขึ้นในอีกหลายมิติ เพราะส่วยนี้กัดกินชีวิตประชาชนทุกคน ทั้งที่ทุกวันนี้ค่าครองชีพในเมืองนี้ก็แพงมากอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่คนกรุงเทพฯ จะต้องจ่ายเงินให้ใครอีก
ขณะเดียวกัน ช่วงที่ผ่านมากรุงเทพฯ ก็เผชิญกับปัญหาในการจัดการโรค COVID-19 สะท้อนปัญหาระบบสาธารณสุขที่พร้อม เช่น 1669 ที่ไม่สอดประสานกับ 1668 ระบบการจัดหาเตียงกับโรงพยาบาลต่างสังกัดที่ไม่เชื่อมโยงกัน รวมถึงปัญหาการจัดสรรวัคซีนที่ทำให้คนกรุงเทพฯ ได้รับวัคซีนล่าช้า
“ถ้าผู้ว่าชื่อวิโรจน์ ผู้ว่าคนนี้ต้องพร้อมชนกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะเรียกว่าพร้อมชนมันไม่ถูก เพราะผมชนมาแล้ว ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร เพราะไม่ได้เป็นการชนส่วนตัว แต่เป็นการชนกับปัญหาเพื่อปกป้องรักษาชีวิตของประชาชน นี่คือหน้าที่พื้นฐานที่สุดของคนที่จะเป็นพ่อเมืองของกรุงเทพฯ
อีกทั้ง เรื่องของทางเท้าเอง ก็เป็นประเด็นที่วิโรจน์กล่าวถึงในปราศรัยนี้ โดยเขามองว่า ปัญหาของทางเท้ามาจากการขุดที่มาจากหลายหน่วยงาน ทั้งท่อประปา เอาสายไฟลงดิน และซ่อมบำรุง ซึ่งตนรู้ดีว่า การนัดให้ขุดพร้อมกันเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะงบประมาณมาไม่พร้อมกัน
แต่หน้าที่ของ ผู้ว่าฯ คือการไม่ยอม หากมีการขุดเจาะแล้วทำให้สภาพของทางเท้าไม่ดี ผู้ว่าฯ ต้องสามารถตามหน่วยงานให้มาแก้ไขได้ หากหน่วยงานนั้นไม่ยอมก็ต้องพร้อมปรับหากหน่วยงั้นนั้น
เช่นเดียวกับ ปัญหาน้ำท่วมที่วนเวียนมาประจำทุกปี ซึ่งเป็นปัญหามาจากการที่ผู้ว่าฯ ไม่มีอำนาจในการแก้ปัญหาระยะยาว ดังนั้น ผู้ว่าฯ ต้องพร้อมจะไปคุยกับทุกหน่วยงานเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างถาวร
ปัญหาเรื่องความปลอดภัยในกรุงเทพฯ ก็เป็นเรื่องน่ากังวล ซึ่งวิโรจน์กล่าวว่า รวมแล้ว ทุก 1 ชม. ในกรุงเทพฯ จะมีคดีอาญาเกิดขึ้นอย่างน้อย 1 คดี ซึ่งสิ่งที่ผู้ว่าฯ สามารถทำได้คือการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัย เช่น ไฟทาง กล้องวงจรปิด สัญญาณไฟ เพื่อให้คนกรุงเทพฯ มีชีวิตที่ปลอดภัย ส่วนเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจก็ต้องพร้อมคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย
วิโรจน์ ยังกล่าวอีกว่า ผู้ว่าฯ ต้องพร้อมเป็นกันชน ชนกับนายทุน อย่างเรื่องของการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ซึ่งมีราคาแพงเนื่องจากสัญญาสัมปทานที่ซ้ำซ้อนหลายฉบับ ทั้ง กทม.ยังค้างค่าจ้างเดินรถและยังเป็นหนี้ให้กับ BTS
“ผมเชื่อว่าวันนี้ คนกรุงเทพฯ ไม่ได้ต้องการผู้ว่าฯ ที่สร้างรถไฟฟ้า แต่คนกรุงเทพฯ ต้องการผู้ว่าที่ทำให้คนกรุงเทพฯ ขึ้นรถไฟฟ้าได้ต่างหาก” ทั้งยังบอกว่า เขาพร้อมจะเปิดเผยสัญญาของรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ถูกปิดเอาไว้ เพราะสัญญานี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำสั่งของ กทม.ด้วย เพื่อให้แก้ปัญหารถไฟฟ้าราคาแพงได้ และพร้อมจะทำให้เกิดบัตรร่วมที่ใช้ได้กับทุกสาย
วิโรจน์ยังกล่าวถึงปัญหาประสิทธิภาพของโรงเรียนหลายๆ แห่งในกรุงเทพฯ ที่หากใครอยากได้การศึกษาที่มีคุณภาพก็ต้องส่งไปเรียนในโรงเรียนที่ค่าเทอมสูง เช่นเดียวกับศูนย์ดูแลเด็กเล็กที่มีราคาแพง
“กทม.ต้องเป็นเมืองที่คนที่มีชีวิต มีลมหายใจที่มี อยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ต้องเป็นเมืองที่มีสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่ดีที่คนกรุงเทพฯ ฝากผีฝากไข้พึ่งพิงได้ กรุงเทพต้องพร้อมเป็นฟูกผืนนึง ที่ทำให้คนกรุงเทพฯ ทุกคนมั่นใจว่า สักวันนึงหากเราล้มลง เราต้องไม่เจ็บหนัก เราต้องพร้อมที่จะลุกขึ้นยืนใหม่ได้ ไม่ใช่ล้มคนเดียวล้มทั้งบ้าน”
“DNA ของพรรคก้าวไกลทำให้ผมพร้อมที่จะชนกับทุกปัญหาของคนกรุงเทพฯ และพร้อมพาผู้คนที่แตกต่าง หลากหลายในสังคมกรุงเทพฯ ให้เดินไปพร้อมๆ กัน พอกันที กรุงเทพฯ ชีวิตดีๆ ที่คุณต้องจ่าย ที่เมื่อไหร่ถ้าคุณไม่จ่าย คุณก็ต้องเจ็บ ต้องทน ต้องชินไปเอง หมดเวลาที่เราจะต้องทน หมดเวลาซุกปัญหาไว้ใต้พรม ถึงเวลาที่จะเลือกผู้ว่าที่พร้อมชนเพื่อคนกรุงเทพฯ”
ฟังงานเปิดตัวแคนดิเดตเต็มๆ ได้ที่: https://www.facebook.com/MoveForwardPartyThailand/videos/462727405302652
#Brief #TheMATTER