ความลังเลหรือปฏิเสธเข้ารับวัคซีน (Vaccine Hesitancy) ไม่ใช่เรื่องใหม่ องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เคยประกาศไว้ปี พ.ศ.2562 ก่อน COVID-19 จะเริ่มระบาด ว่าเป็นหนึ่งในสิบภัยคุกคามด้านสุขภาวะของโลกด้วยซ้ำ
และถ้าลองค้นข้อมูลดู ก็จะเห็นว่า WHO เคยพยายามหาวิธีแก้ไขปัญหา Vaccine Hesitancy ตลอดช่วงหลายปีหลัง มีรายงานตั้งแต่สไลด์ไม่กี่แผ่น ไปจนถึงเอกสารหนา 200-300 หน้า
ขณะที่เมืองไทยเวลานี้ หลายฝ่ายพยายามรณรงค์ให้ประชาชนเข้ารับวัคซีน COVID-19 แต่ก็ยังมีหลายคนลังเล ทั้งไม่มั่นใจประสิทธิภาพของวัคซีนที่ภาครัฐจัดมาให้ รวมถึงกังวลเรื่องผลข้างเคียง
The MATTER มีโอกาสได้พูดคุยกับ อ.นพ.ศุภโชค เกิดลาภ อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ จากโรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ และคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ถึงสถานการณ์เช่นนี้
อ.นพ.ศุภโชค มองว่า Vaccine Hesitancy ในหมู่คนไทย เกิดจาก 1.ความกังวลว่าฉีดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น กับ 2.สงสัยว่าทำไมข้อมูลมันกลับไปกลับมา ซึ่งด้านหนึ่งต้องยอมรับว่าเกิดจากปัญหาการสื่อสาร อีกด้านหนึ่งเกิดจากข้อมูลที่เปลี่ยนไปเร็วมาก เพราะ COVID-19 อยู่กับเรามาได้ปีเศษๆ เท่านั้น ซึ่งส่วนตัวคิดว่าการรณรงค์ให้คนมาฉีดวัคซีน จะต้องให้ข้อมูลที่เป็นจริง ไม่อวยบางวัคซีนเกินไป หรือไม่ด่าบางวัคซีนว่าแย่มาก
“ความที่คนลังเลไม่อยากฉีด เป็นสิทธิส่วนบุคคล มันไปบังคับหรือไปห้ามใครไม่ได้ แล้ววัคซีน มันไม่ใช่หน้าที่ แต่มันเป็นสิทธิของคน ที่จะรับหรือไม่รับ แต่เขาต้องรู้ว่า การรับวัคซีน ที่เราอยากให้เขารับ เหตุเพราะอะไร”
อ.นพ.ศุภโชคยังระบุว่า ประโยชน์ของวัคซีนมี 3 อย่าง คือ ‘กันหนัก-กันตาย’ ‘กันติด’ และ ‘กันหมู่’ ซึ่งไม่ใช่ทุกวัคซีนจะทำได้ครบ 3 อย่าง และการจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) ให้เกิดขึ้นได้ ต้องขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของวัคซีนนั้นๆ รวมถึงจำนวนการฉีดในประชากรที่มากพอ
“สิ่งที่คนไม่ค่อยพูดกัน คือตอนนี้ทรัพยากรทางการแพทย์เทไปที่ COVID-19 เยอะมาก จนทำให้การดูแลผู้ป่วยในโรคเรื้อรังบางโรคทำได้ไม่ค่อยดี อาจารย์หมอหลายๆ คนจึงอยากให้ฉีดวัคซีนกัน เพราะถึงจะลดยอดผู้ติดเชื้อไม่ได้ แต่ก็ลดยอดผู้ป่วยหนักจนต้องเข้า ICU ได้ อย่างน้อยๆ บุคลากรทางการแพทย์จะได้หายใจหายคอ และจัดสรรทรัพยากรไปให้กับคนที่หนักจริงๆ” อ.นพ.ศุภโชคกล่าว
#Brief #โควิด #วัคซีน #TheMATTER