หลายเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะนักธุรกิจผู้เก่งกาจแค่ไหน ก็ไม่กล้าออกพูดถึงเรื่องของตัวเองในวันนี้ หากทำความเข้าใจก็คงพอจะเก็ตได้ว่า ในวันที่เศรษฐกิจกลับตาลปัตร พวกเขาไม่มีเวลามานั่งถอดบทเรียนชีวิตให้ใครฟัง เพราะตลอดเวลาคือการพายเรือขึ้นฝั่ง ในจังหวะที่โรคร้ายยังไม่รู้จะหยุดระบาดในวันไหน
แต่หลายเดือนที่ผ่านมา ก็มีหนึ่งชื่อของบิ๊กบอสแห่งอสังหาริมทรัพย์ ที่ปรากฏเป็นกระแส เป็นข่าวที่ต้องหยุดให้ความสนใจ
เขาเป็นคนที่ออกมาโพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ฉะรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา เช่น การเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงยูนิเซฟ เรียกร้องกรณีการสลายการชุมนุมที่แยกปทุมวัน (16 ตุลาคม) ในฐานะ Unicef’s Secret Partner เขาต้องการให้ยูนิเซฟออกมาแถลงอย่างเป็นทางการ ไม่ให้รัฐบาลใช้กำลังในการสลายการชุมนุมโดยมิชอบ – เขาไม่เห็นด้วย
ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึง ‘เศรษฐา ทวีสิน’ บิ๊กบอสแห่งอาณาจักรแสนสิริ
สปอร์ตไลต์ของเขาได้ใจคนรุ่นใหม่ ถึงกับหลายคนบอกว่า ถ้าจะซื้อบ้านหลังแรก จะเลือกโครงการแสนสิริ
ซึ่งก่อนหน้าที่เศรษฐาจะโพสต์ถึงการเมืองอย่างตรงไปตรงมา เขาเคยได้ซีนไปรอบหนึ่งตอนที่ออกมาทุบราคาบ้านแสนสิริ ขายเท่าทุน เพื่อพาองค์กรรอด ในจังหวะที่เศรษฐกิจซบ คนตกงาน คนเลือกจะไม่ใช้เงิน
ด้วยสไตล์การบริหารและตัดสินใจแบบถึงลูกถึงคน ตลอดจนส่งเสียงอย่างตรงไปตรงมาด้วยตัวของเขาเองไม่ผ่านองค์กร The MATTER อยากจะชวนรู้จักเขาในแง่มุมนักบริหาร โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโควิด ที่เราคิดว่าเป็น Case Study ที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“หมดเวลาสร้างภาพ ต้องทำทุกอย่างเพื่อเงินสด” นี่คือประโยคจากเขาในจังหวะที่ต้องยอมรับว่าไม่รู้ว่าไวรัสร้ายจะหมดไปเมื่อไหร่ การยอมขาดทุนเพื่อเงินสดเป็นเรื่องที่จำเป็น
“หากเคยขายบ้านหลังหนึ่ง 10 ล้านบาท ต้นทุนจริง 9 ล้าน ถ้าลูกค้าบอกมีเงิน 9 ล้าน ผมยอมขายแล้ว (…) กำไรไม่มีไม่เป็นไร เอาเงินสดไว้ดีกว่า”
เงินสดคือพระเจ้า ทุกคนต่างรู้ดีในวิกฤตเศรษฐกิจ จะรอดหรือไม่อยู่ที่สายป่านสั้นหรือยาว นอกจากลดราคาบ้านเท่าทุน แสนสิริยังอัดแคมเปญช่วยผ่อนตามไปยาวๆ ลดต้นลดดอก 24 เดือน เปลี่ยนความกลัวของลูกค้าเป็นโอกาสทางรอดของอสังหาฯ เครือแสนสิริ วิน-วิน สองฝ่าย
“ทำงานหนัก – มีวินัย – ไม่ลืมต้นน้ำ” คือ 3 ข้อที่เศรษฐาบอกว่าสำคัญมากๆ สำหรับการฝ่าวิกฤตโควิดและพิษเศรษฐกิจ ในฐานะผู้บริหารระดับสูง เขาจะเข้าออฟฟิศตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่งตอนเช้า เพื่อให้ลูกน้องทุกคนรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ มีวินัยต่อการดำรงชีวิตและการเงิน และสำคัญที่สุดคือ ไม่ลืมพาร์ทเนอร์หรือซัพพลายเออร์ที่โตมาด้วยกันพร้อมกับแสนสิริ พร้อมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เข้าตามตำรา มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน
ไม่ทิ้งพนักงานแม้คนเดียว แต่ต้องจับมือมองหาทางรอดไปพร้อมกัน แสนสิริยืนยันไม่ลดพนักงานในจำนวนทั้งหมด 4,000 คน ไม่ลดเงินเดือน ไม่ปลดใครออก – เมื่อองค์กรเต็มที่ในช่วงวิกฤต สิ่งที่ต้องการจากบุคลากรคือความเต็มที่เช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่เขามองหาในตัวพนักงานคือ “คนที่ไม่ตอบว่าไม่” วิกฤตคือการแก้ปัญหา ถ้าหากมีปัญหา พนักงานต้องมองหา solutions หรือ options ทางออกมานำเสนอ ไม่ใช่การบอกว่า ‘ทำไม่ได้หรอก’ ตั้งแต่เริ่ม
แม้ว่าจะยังมองอนาคตไม่ชัดเจน แต่ต้องไม่หยุดพัฒนา ในปี 2020 แสนสิริยังประกาศเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีในที่อยู่อาศัยเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้แพลตฟอร์ม AI เก็บข้อมูลไซต์ก่อสร้างแบบละเอียด 360 องศา/ เยี่ยมชมโครงการและห้องตัวอย่างเสมือนจริงได้ง่ายไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ไหน ซึ่งก่อนหน้านี้ แสนสิริก็เคลมมาตลอดว่าตัวเองเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมที่พักอาศัย ก็น่าจะจริง – หลายปีก่อนหน้านี้ เราก็ได้เห็นคอนเซปต์โครงการหมู่บ้านจัดสรรสำหรับผู้สูงอายุ ที่ใช้เทคโนโลยีช่วยให้ผู้อยู่อาศัยสูงวัยปลอดภัยตลอดเวลา มาจากแสนสิริเป็นเจ้าแรก
สำคัญที่สุดอย่าวางใจต่อสถานการณ์ปัจจุบัน คือสิ่งที่เขาย้ำเตือนเสมอ เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า แม้ปัจจุบันพอร์ตแสนสิริมีมูลค่า 12,000 ล้าน และมีคนอยากเข้าร่วมงานด้วยมากแค่ไหน แต่เขาไม่เคยนิ่งนอนใจเลย เพราะอะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้ในปีหน้า ซึ่งเขาเชื่อว่า ยังไงเศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้นตัวในครึ่งปีหลังนี้ – หรืออาจจะแม้กระทั่งในปีหน้าก็ตาม
รูปภาพจาก : ประชาชาติธุรกิจ
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://www.prachachat.net/d-life/news-423537
#Brief #Business #TheMATTER