คุณเห็นผู้นำโลกกี่คนบ้างที่กล้าออกมาวิจารณ์รัฐบาลจีน ต่อกรณีการกดขี่ชนกลุ่มน้อยอุยกูร์? ภายหลังจากความเงียบงันอันยาวนาน ล่าสุด สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ได้ทรงกล่าวถึงชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ว่าพวกเขาเป็นผู้ถูกกดขี่ทางเชื้อชาติ ในหนังสือเล่มใหม่ของพระองค์ที่มีชื่อว่า ‘Let Us Dream: The Path to A Better Future’ ที่เพิ่งตีพิมพ์ไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
“พ่อคิดถึงกลุ่มคนที่ถูกกดขี่ทางเชื้อชาติอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะป็นชาวโรฮิงญา ‘ชาวอุยกูร์ผู้น่าสงสาร’ กลุ่มชาวยาซิดิส ที่ถูก ISIS กระทำย่ำยีอย่างโหดร้าย หรือแม้กระทั่ง คริสตชนชาวอียิปต์และปากีสถานที่ถูกลอบวางระเบิดในวันที่พวกเขากำลังสวดภาวนาอยู่ในโบสถ์” คือ คำกล่าวของพระสัตะปาปาฟรานซิส ที่พูดถึงคนกลุ่มน้อยต่างๆ ในทั่วทุกมุมโลกที่กำลังประสบอยู่กับปัญหาการกดขี่ทางเชื้อชาติ
CNN รายงานว่า การที่พระสันตะปาปาทรงกล่าวถึงชนกลุ่มน้อยอุยกูร์บนหนังสือในครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่พระสันตะปาปาทรงวิจารณ์โดยตรงว่า ชาวอุยกูร์ที่อาศัยอยู่ในมณฑลซินเจียงของจีน กำลังประสบปัญหาการถูกกดขี่ และการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ซึ่งเป็นปัญหาในเชิงสิทธิมนุษยชนขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในจีน แต่ก็มิได้ทรงอธิบายเพิ่มเติมไปมากกว่านั้น หากเปรียบเทียบจากกรณีของชาวโรฮิงญาที่ทรงเขียนอธิบายเพิ่มเติมถึงพวกเขาในหนังสือของพระองค์
กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ รายงานว่า มีชาวอุยกูร์ร่วม 2 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามกำลังถูกกักตัวในค่ายกักกันบริเวณซินเจียง โดยมีรายงานเพิ่มเติมจากชาวอุยกูร์ที่เคยถูกจับเข้าไปยังค่ายกักกันดังกล่าวว่า พวกเขาถูกล้างสมองให้เลิกนับถือศาสนา ถูกทำร้ายร่างกาย ตลอดจนถูกจับทำหมัน
อย่างไรก็ตาม ทางการจีนได้ออกมาปฏิเสธว่า ข้อกล่าวหาว่าจีนมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวอุยกุร์นั้นไม่เป็นความจริง เพราะค่ายกักกันดังกล่าวมีเอาไว้จับกุมเฉพาะกลุ่มคน ที่ทางการจีนเรียกว่า ‘มีแนวคิดหัวรุนแรงทางศาสนา’
เดิมที วาติกันกับจีนมีความตึงเครียดกันในประเด็นการแต่งตังบิชอปประจำจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเป็นอำนาจโดยตรงของประมุขศาสนจักรคาทอลิกอย่างพระสันตะปาปา แต่ทางการจีนปฏิเสธการแต่งตั้งบิชอปจากวาติกัน และเปลี่ยนอำนาจการตัดสินใจดังกล่าวมาเป็นของรัฐบาลคอมมิวนิสต์เอง ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1951 โดยความตึงเครียดดังกล่าวเพิ่งจะถูกผ่อนปรนเป็นครั้งแรกใน ค.ศ.2018 หลังจากวาติกันกับจีนมีข้อตกลงที่ไม่ได้เปิดเผยเป็นสาธารณะต่อการแต่งตั้งบิชอปผ่านวาติกันเอง ซึ่งข้อตกลงดังกล่าว ได้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าวาติกันมองข้ามประเด็นสิทธิมนุษยชน คุณค่าของชาวคริสต์ที่ดี และหันไปจับมือกับรัฐบาลจีนแทน
หลังจากข้อความของพระสันตะปาปา ที่แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อชาวอุยกูร์ที่พระองค์เรียกพวกเขาว่าเป็นผู้ถูกกดขี่ทางเชื้อชาติได้ตีพิมพ์ในหนังสือแล้วนั้น จาว ลี่เจียน (Zhao Lijian) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้ออกมาตอบโต้พระสันตะปาปาว่า ข้อวิจารณ์ดังกล่าวนั้นเป็นข้อวิจารณ์ที่ ‘ไม่มีหลักฐาน’
“มีชนกลุ่มน้อยในจีนทั้งหมด 56 ชนกลุ่มน้อย และชาวอุยกูร์เป็นสมาชิกที่เท่าเทียมในครอบครัวใหญ่ของชาติจีน รัฐบาลจีนได้ปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่มบนพื้นฐานของความเท่าเทียม และปกป้องสิทธิที่พวกเขาพึงมีตามกฎหมาย” จาว กล่าวเสริม
ความขัดแย้งในรอบใหม่นี้ อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างวาติกันกับจีนที่ตึงเครียดกันมาอย่างยาวนาน ตลอดจนเสรีภาพในการนับถือศาสนาของชาวคาทอลิกจำนวน 9 ล้านคนในจีน ที่รัฐบาลคอมมิวนิสต์คอยจับตาดูกิจกรรมทางศาสนาของพวกเขาที่ยึดถือประมุขสุงสุด คือ พระสันตะปาปาในกรุงโรม อีกด้วย
อ้างอิงจาก
https://edition.cnn.com/2020/11/24/europe/pope-francis-china-uyghur-intl-hnk/index.html
#Brief #TheMATTER