การระบาดของ COVID-19 ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย และทรัพย์สิน แต่มันยังสร้างความบอบช้ำให้จิตใจใครหลายๆ คน มีรายงานว่านับตั้งแต่การระบาดเริ่มขึ้นเมื่อต้นปี ค.ศ.2020 อัตราการฆ่าตัวตายของนักเรียนในลาสเวกัส สหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น กระตุ้นให้โรงเรียนต่างๆ รีบกลับมาเปิดเรียนให้เร็วที่สุด
นับตั้งแต่โรงเรียนในเมืองคลาร์กเคาน์ตี (Clark County) ชานเมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา ปิดลงในช่วงเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมา หน่วยตรวจสอบสุขภาพจิตของนักเรียนรายงานว่า มีเด็กนักเรียนส่งสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มในการฆ่าตัวตายมากกว่า 3,100 ครั้ง และสถิติเมื่อเดือนธันวาคม พบว่ามีเด็กนักเรียนจำนวน 18 คนที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ
แนวโน้มในการตัดสินใจ และจำนวนการฆ่าตัวตายที่เพิ่มมากขึ้น กระตุ้นให้โรงเรียนหาทางกลับมาเปิดสอนให้เร็วขึ้น โดยในเดือนมกราคมนี้ คณะกรรมการโรงเรียนได้อนุญาตให้นักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา และนักเรียนที่แสดงความต้องการกลับมาเรียนในโรงเรียน สามารถกลับมายังสถานศึกษาได้แล้ว
แม้ว่าการฆ่าตัวตายของเด็กนักเรียนจะยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเชื่อมโยงกับการปิดโรงเรียนอย่างแน่ชัด เนื่องจากยังไม่มีการรวบรวมข้อมูลระดับชาติเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายในปี ค.ศ.2020 แต่การศึกษาหนึ่งจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (C.D.C) แสดงให้เห็นว่าอัตราการพยายามฆ่าตัวตายของเยาวชนจากปัญหาทางสุขภาพจิตเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19
เกรต้า มาเซตติ (Greta Massetti) ผู้ศึกษาผลกระทบของความรุนแรงและการบาดเจ็บที่มีต่อเด็กจาก C.D.C. กล่าวว่า ที่ผ่านมาเด็กหลายล้านคนต้องพึ่งพาโรงเรียน เพื่อรับบริการด้านสุขภาพจิต แต่ตอนนี้ทางเลือกนั้นถูกปิดกั้นลงแล้ว
ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่มีการระบาด คลาร์กเคาน์ตี้จำนวนเด็กนักเรียนฆ่าตัวตาย 18 ราย โดยนักเรียน 6 คนเสียชีวิตระหว่างวันที่ 16 มีนาคม ถึง 30 มิถุนายน ส่วนนักเรียนอีก 12 คนเสียชีวิตระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 ธันวาคม และนักเรียนที่อายุน้อยที่สุดที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายได้ทิ้งข้อความไว้ว่า “ฉันไม่มีอะไรให้รอ”
โรเบิร์ต อาร์ เรดฟิลด์ (Dr. Robert R. Redfield) ผู้อำนวยการ C.D.C. เตือนว่าการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นที่เพิ่มขึ้น จะเป็นหนึ่งในผลกระทบด้านสาธารณสุขเชิงลบที่สำคัญของการปิดโรงเรียน ที่ผ่านมากลุ่มสุขภาพจิตและนักวิจัยได้เผยแพร่รายงานและข้อมูลต่างๆ เพื่อพยายามช่วยให้โรงเรียนสามารถให้คำปรึกษาและบริการด้านอื่นๆ กับนักเรียนได้เสมือนอยู่ที่โรงเรียนจริง แต่ตัวเลขการเสียชีวิตเหล่านี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเพียงแค่นั้นอาจจะยังไม่พอ
นอกจากนี้กลุ่มผู้สนับสนุนด้านสุขภาพจิต ยังเตือนว่า นักเรียนที่มีความเสี่ยงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด คือ กลุ่มนักเรียนผิวดำ และ LGBTQ ดังนั้นจึงต้องมีมาตรการช่วยเหลือที่รัดกุม เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์น่าเศร้าขึ้นอีก ไม่ว่ากับใครก็ตาม
หลังการเข้ารับตำแหน่งของโจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีคนใหม่ เขาได้กำหนดแผนการใหม่ เพื่อเร่งการฉีดวัคซีน และเตรียมอนุมัติเงินหลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อให้เขต และรัฐต่างๆ สามารถกลับมาเปิดโรงเรียนได้อีกครั้งใน 100 วันแรกที่ดำรงตำแหน่ง แม้ว่านั่นดูเหมือนจะเป็นเวลาที่ยาวนาน แต่ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อให้โรงเรียนกลับมาเปิดได้ โดยที่นักเรียนปลอดภัยทั้งร่างกาย และจิตใจ
อ้างอิงจาก
#Brief #TheMATTER