เกิดความวุ่นวายขึ้นในพม่าอีกครั้ง หลังมีรายงานว่า ผู้นำคนสำคัญอย่าง อองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐของพม่า และ วิน มินต์ ประธานาธิบดีพม่า และคณะถูกจับกุมตัวเอาไว้ โดยที่ปัจจุบัน ยังไม่มีใครทราบชะตากรรมของพวกเธอและเขาว่าเป็นอย่างไร โดยล่าสุด มีการยืนยันจากกองทัพพม่าแล้วว่า เหตุการนี้คือ ‘การรัฐประหาร’ อีกครั้งที่เกิดขึ้นในพม่า
จากรายงานระบุว่า การติดต่อสื่อสารในเมืองหลวงอย่างเนปิดอว์ถูกตัดขาดในทุกช่องทาง นี่คือเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่ท้าทายต่อกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยในพม่า The MATTER จึงขอพาไปสำรวจว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในเหตุการณ์รัฐประหารพม่าของเช้าวันนี้
1.การจับกุมตัวผู้นำคนสำคัญในฟากฝั่งประชาธิปไตยนี้ เป็นการทำรัฐประหารของพม่าอีกครั้ง หลังจากระบอบเผด็จการทหารพม่าจบลงเมื่อ ค.ศ.2011 และทำให้พม่าค่อยๆ เปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย ทั้งนี้ ยังคงต้องรอการยืนยันอีกครั้งว่าการจับกุมตัวในครั้งนี้ กองทัพได้นำตัวอองซาน ซูจีและผู้นำฟากรัฐบาลไปกักขังไว้ที่ใด โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นปฏิกิริยาตอบกลับ ภายหลังการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยในพม่าตั้งแต่ช่วง ค.ศ.2015
2.ก่อนการรัฐประหารดังกล่าว พม่าได้เข้าสู่การเลือกตั้งครั้งที่ 3 ในช่วงพฤศจิกายน ค.ศ.2020 ที่ผ่านมา ผลลัพธ์ในการเลือกตั้งของครั้งนี้ ลงเอยที่พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของอองซาน ซูจี ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายอีกครั้ง และสามารถครองเสียงข้างมากกว่า 396 จาก 476 ที่นั่ง หรือคิดเป็น 83 เปอร์เซ็นต์ของที่นั่งในรัฐสภาพม่าได้สำเร็จ
3.ผลการเลือกตั้งดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกมั่นคงในการถือครองอำนาจของกองทัพพม่า ประกอบกับปัญหาการจัดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญาระหว่างกองทัพกับรัฐบาลพลเรือน อีกทั้งข้ออ้างที่กองทัพโจมตีรัฐบาลของอองซาน ซูจี ว่ามีความล้มเหลวต่อการจัดการ COVID-19 กองทัพพม่าจึงเริ่มกล่าวโจมตีการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ว่ามีการโกงการเลือกตั้งเกิดขึ้นจำนวน 8.6 ล้านกรณี
4.แต่ด้วยจำนวนเสียงของรัฐบาลประชาธิปไตยที่เกือบครองที่นั่งทั้งหมดในรัฐสภา ประกอบกับการที่กองทัพโจมตีว่ามีการโกงการเลือกตั้งเกิดขึ้นอย่างที่ได้กล่าวไป ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพ และรัฐบาลพลเรือนตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
5.ความตึงเครียดดังกล่าวทำให้เกิดกระแสข่าวลือว่า กองทัพพม่าอาจตัดสินใจทำรัฐประหาร ถึงแม้ว่าเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โฆษกของกองทัพพม่าจะได้ออกมาแถลงยืนยันว่า “ทหารพม่าจะเคารพหลักการและกฎหมายรัฐธรรมนูญ” เช่นเดียวกับ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของพม่าอย่าง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ที่ออกมาย้ำว่าจะเคารพรัฐธรรมนูญ ในขณะที่สื่อหลายสำนักสังเกตเห็นความผิดปกติ เพราะเริ่มมีรถทางการทหารลงมาแล่นบนท้องถนนของพม่ามากขึ้น
6.จนกระทั่งช่วงเวลาประมาณ 06.00 น. ของเช้าวันนี้ ข่าวถูกตีไปในทุกหน้าสื่อของเช้าตรู่ตามเวลาท้องถิ่นว่า อองซาน ซูจี ซึ่งมี และ วิน มินต์ รวมถึงผู้นำอาวุโสของฟากรัฐบาลถูกจับกุมตัวเอาไว้ กระแสข่าวดังกล่าวยังคงเป็นที่ถูกสับสน เนื่องจากไม่มีใครทราบชะตากรรมของผู้นำฟากประชาธิปไตยภายใต้การควบคุมของทหารเลยว่าเป็นอย่างไร
7.หลังจากความสับสนวุ่นวาย ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา กองทัพพม่าได้ออกแถลงการณ์ในโทรทัศน์แห่งชาติ เมียวดีทีวี ว่า ทหารได้ทำการรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของพม่า พร้อมทั้งประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ ด้วยคำกล่าวอ้างของกองทัพที่ว่า รัฐธรรมนูญพม่ามีข้อกำหนดให้กองทัพสามารถเข้าควบคุมการปกครองของรัฐได้ หากพม่าอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยข้ออ้างหลักของสถานการณ์ฉุกเฉินที่กองทัพพม่าอ้างนั้น คือ การโกงการเลือกตั้ง รวมถึงการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ของรัฐบาลพลเรือนพม่า
8.การรัฐประหารในครั้งนี้ ได้ทำการตัดการติดต่อสื่อสารทุกช่องทาง เช่นเดียวกันกับสถานีโทรทัศน์นานาชาติต่างๆ ถูกระงับลง มีรายงานเพิ่มเติมว่า ธนาคารในพม่าถูกปิด และตู้เอทีเอ็มในย่างกุ้ง เนปิดอว์ และหลายเมืองในพม่าไม่สามารถกดเงินสดได้ ส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวพม่าเป็นวงกว้าง แต่มีรายงานเพิ่มเติมว่า บางระบบที่ถูกตัดไป เริ่มสามารถกลับมาใช้งานได้บ้างแล้ว
9.ในขณะเดียวกัน กองทัพพม่าได้แต่งตั้งให้ พล.อ.มินต์ ส่วย ปฏิบัติหน้าที่ประธานาธิบดีชั่วคราว สื่อรายงานว่า พล.อ.มินต์ ส่วน นั้น เป็นนายทหารนอกราชการ และความสนิทสนมกับกองทัพพม่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับ พล.อ.อาวุโส ตาน ฉ่วย อดีตผู้นำเผด็จการทหารพม่าเป็นอย่างมาก จึงทำให้เขาได้รับความไว้วางใจ และได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีชั่วคราว อย่างไรก็ตาม เขาถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ จากกรณีการกวาดล้างชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ของพม่า
10.สายตาจากประชาคมโลกจับจ้องมายังพม่า หลังการหยุดชะงักลงของการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยในพม่ามาได้เกือบทศวรรษ เช่น สหรัฐฯ และออสเตรเลีย ที่ออกแถลงการณ์โจมตีการทำรัฐประหารของกองทัพพม่าดังกล่าวเช่น เจน ซากี (Jen Psaki) โฆษกประจำทำเนียบขาว ได้กล่าวแถลงการณ์ในฐานะตัวแทนสหรัฐฯ ว่า “สหรัฐฯ คัดค้านความพยายามในการเปลี่ยนแปลงผลเลือกตั้ง หรือขัดขวางการเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยของเมียนมา และจะดำเนินการกับผู้รับผิดชอบ หากยังไม่ยุติการกระทำเหล่านี้” ในขณะที่ออสเตรเลียออกแถลงการณ์ว่า ออสเตรเลียมีความ “กังวลอย่างยิ่ง” ต่อสถานการณ์การจับตัวผู้นำรัฐบาลพลเรือนพม่า
11.เช่นเดียวกันกับ สำนักโฆษกของสหประชาชาติ ที่ออกแถลงการณ์ว่า “สำนักโฆษกแห่งสหประชาชาติ ขอร้องไปยังผู้นำกองทัพพม่า ที่จะเคารพฉันทามติของชาวพม่า และยึดตนไปตามทำนองของแนวคิดอย่างประชาธิปไตย ด้วยการแก้ไขปัญหา ให้มีการเปลี่ยนผ่านพม่าไปสู่ประชาธิปไตยได้อย่างสันติ
12.ในขณะที่บนโซเชียลมีเดียต่างประเทศ และของไทยเอง มีกระแสการติด #SaveMyanmar และ #รัฐประหาร #พม่า เพื่อโจมตีการทำรัฐประหารของกองทัพพม่า โดยมีหลายฝ่ายในไทยเชื่อมโยงว่า การทำรัฐประหารของกองทัพในพม่า มีลักษณะและตัวแสดงบางอย่างคล้ายกันกับกรณีที่เกิดขึ้นในไทย
13.หากสืบย้อนไป พม่าเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยอีกครั้งเมื่อ 10 ปีก่อน หลังจากการต่อสู้อันยาวนานของผู้นำประชาธิปไตยอย่าง อองซาน ซูจี นานนับทศวรรษ การเลือกตั้งเมื่อ ค.ศ.2011 คือ สิ่งที่ชาวพม่าแลกมาด้วยเลือดเนื้อของพวกเขา หลังกองทัพเข้าทำรัฐประหารและปิดประเทศตนเองตั้งแต่ ค.ศ.1962 ภายใต้การนำของ พล.อ.เนวิน การต่อสู้เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน จนกองทัพยอมเปลี่ยนผ่านอำนาจของตน และจัดให้มีการเลือกตั้งในท้ายที่สุด อย่างไรก็ดี จากการเลือกตั้งใน ค.ศ.2011 นั้น กองทัพพม่ายังคงคุมรัฐสภาได้อยู่เช่นเดิม ผ่านรัฐบาลจากพรรคสหภาพเอกภาพและการพัฒนา (USDP) เป็นผู้ปกครอง
14.จนกระทั่งหลังจากการเลือกตั้งใน ค.ศ.2015 พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของอองซาน ซูจี ชนะการเลือกตั้ง ครองเสียงเกินครึ่งของรัฐสภา กลายเป็นแสงสว่างแห่งความหวังประชาธิปไตยในพม่า ก่อนที่แสงสว่างดังกล่าวจะดับวูบลงในเช้าวันนี้
15.ถึงแม้ว่ารัฐบาลพลเรือนพม่าของอองซานซูจีจะครองเสียงข้างมาก และมีความพยายามในการขับเคลื่อนให้พม่ากลายเป็นประชาธิปไตยเต็มใบก็ตาม แต่รัฐธรรมนูญของพม่าที่ถูกร่างเอาไว้ใน ค.ศ.2008 ได้กำหนดให้รัฐสภามีที่นั่งของทหารจำนวน 25 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ในการปฏิรูปพม่าให้เป็นประชาธิปไตยในทางปฏิบัติจึงเป็นไปได้ยาก แต่กลับเพิ่มความขัดแย้งระหว่างพลเรือนและกองทัพ จนปะทุออกมาเป็นการทำรัฐประหารดังกล่าว
ยังคงต้องติดตามต่อไปว่า สถานการณ์การทำรัฐประหารของกองทัพพม่าในครั้งนี้ จะเปลี่ยนโฉมประชาธิปไตยของพม่ากลับไปเป็นรัฐเผด็จการทหาร เหมือนอย่างก่อน ค.ศ.2011 หรือไม่ อย่างไรก็ดี ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และการเมืองโลกในปัจจุบัน อาจทำให้การรัฐประหารในครั้งนี้ของพม่า เป็นอุปสรรคและความท้าทายครั้งใหญ่ของกระบวนการเปลี่ยนผ่านเป็นประชาธิปไตยในพม่าเป็นอย่างมาก
อ้างอิงจาก
https://www.theguardian.com/…/aung-san-suu-kyi-and-other-fi…
https://www.bbc.co.uk/news/world-asia-55882489
https://apnews.com/article/dda3d013897e14d5d0bd44d19eac9cd1
https://www.aljazeera.com/…/aung-san-suu-kyi-ruling-party-l…
https://www.wsj.com/…/u-s-is-alarmed-by-reports-of-military…
https://www.un.org/…/statement-attributable-the-spokesperso…
https://www.nytimes.com/…/myanmar-coup-aung-san-suu-kyi.htm…
#Recap #รัฐประหารพม่า #อองซานซูจี #TheMATTER