แม้ว่าหลายธุรกิจจะเริ่มปรับตัวได้อีกรอบกับสภาพหลังปลดล็อกดาวน์ COVID-19 รอบที่สอง แต่แน่นอนว่าหลายอย่างก็ยังไม่เหมือนเดิม โดยเฉพาะการหาเงินยากกว่าเดิมเพราะกำลังจ่ายที่ลดลง สภาพคล่องที่ฝืดเคืองเพราะจ่ายเงินประคองร้านกันอย่างเต็มความสามารถ ไม่นับรวมหลายร้านที่กัดฟันสู้กับสถานการณ์ไม่ไหวจนตัดสินใจปิดตัวลงให้เห็นกันอยู่เรื่อยๆ
ล่าสุด KKP Research ของธนาคารเกียรตินาคินภัทร ได้หยิบข้อมูลชุดหนึ่งออกมาเผยแพร่ให้เห็นถึง ‘ความเปราะบางของธุรกิจไทย’ ในวันนี้ ผ่านตัวชี้วัดหนึ่งคือสิ่งที่เรียกว่า ‘คุณภาพสินเชื่อ’
ก่อนที่จะไปดูกันว่า ตอนนี้ความเปราะบางของธุรกิจไทยอยู่ตรงไหนบ้าง ขอพาไปทำความรู้จักตัวชี้วัดหนึ่งของลมหายใจเศรษฐกิจ อย่างคุณภาพสินเชื่อกันก่อน
‘คุณภาพสินเชื่อ’ คือ ข้อมูลความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจไทย ซึ่งในปีนี้ทางธนาคารก็มองว่า น่าจะได้เห็นหนี้เสีย หรือหนี้ที่ลูกหนี้ชำระไม่ไหว เพิ่มมากขึ้น จากการที่หลายมาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อยุติลง
แต่อีกประเด็นที่น่าสนใจจริงๆ จากงานวิจัยของเกียรตินาคินภัทรฉบับนี้คือ อันที่จริงแล้ว คุณภาพสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทย มีปัญหามาตั้งแต่ก่อน COVID-19 ระบาด แต่โรคระบาดที่เผชิญหน้ากันทั่วโลกนี่แหละ ที่เข้ามาซ้ำเติมให้หลังจากนี้ ปัญหาหนี้เสียจะหนักหนาขึ้นไปอีก
3 อุตสาหกรรมหลักของประเทศ ที่หนี้เสียมหาศาลมาก่อนกาล
ย้อนกลับไปดูข้อมูลก่อนยุคโรคระบาดจะมาเยือน งานวิจัยบอกว่า มี 3 ภาคธุรกิจไทยที่น่ากังวลเรื่องความสามารถในการจ่ายหนี้ คือ อุตสาหกรรมการผลิต ค้าปลีก
โดยธุรกิจโรงแรมและที่พัก ซึ่งมีสัดส่วนหนี้เสียต่อยอดหนี้คงค้าง เยอะกว่าค่าเฉลี่ย และปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมลูกหนี้แต่ละราย ที่เบี้ยวจ่ายแต่อย่างใด แต่เกิดจากปัญหา ‘โครงสร้างเศรษฐกิจ’ ที่ทำให้สามอุตสาหกรรมที่ว่า หารายได้ไม่ได้เท่าเดิม
ซึ่ง 3 อุตสาหกรรมที่ว่า ดันเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนประเทศไทย
อุตสาหกรรมการผลิต : ที่เป็นรายได้ประเทศมากถึง 27% เจอปัญหาทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอก ส่วนปัจจัยภายในคือ การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของไทย ที่ผลิตสินค้าไม่ตอบโจทย์ตลาดโลกที่เป็นดิจิทัลมากขึ้น รวมถึงต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้นและเงินบาทแข็งค่า
จึงเกิดปรากฏการณ์ที่หลายโรงงานปิดตัว ไม่ก็ย้ายไปตั้งโรงงานที่เวียดนามเพื่อนบ้านเรา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ยานยนต์ และอาหาร ซึ่งเป็น 49% ของการส่งออกทั้งหมดของไท
อุตสาหกรรมค้าปลีกและค้าส่ง : เจอปัญหาปลาใหญ่กินปลาเล็ก ที่ทำให้คนทำมาค้าขายก่ายหน้าผาก เพราะขายไม่ออก ทั้งที่เป็นรายได้ประเทศ 17%, เกียรตินาคินภัทรบอกว่า ตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา ธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งมีการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
สาเหตุจากทั้งร้านค้ารายเล็กโดนโมเดิร์นเทรด (ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ) เข้ามาแย่งรายได้ การควบรวมของกิจการใหญ่ที่เพิ่มความสามารถในการทำธุรกิจให้กับกิจการ และกินส่วนแบ่งตลาดมากเข้าไปอีก ตลอดจนการขายของออนไลน์และอี-คอมเมิร์ซที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
อุตสาหกรรมโรงแรมและที่พัก : เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ซบเซาก่อนโรคระบาด เพราะมียุคที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วตามการเติบโตของการท่องเที่ยว และการเข้ามาของต่างชาติ แต่การขยายนั้นเกิดขึ้นแบบเกินความต้องการของผู้บริโภค ทำให้สุดท้ายอัตราการเข้าพักในภาพรวมลดลงต่อเนื่อง ตามมาด้วยการตัดและลดราคากันเพื่อแข่งขัน
การแข่งขันด้านราคาทำให้รายได้ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่ต้นทุนจำกัดและเข้าถึงสินเชื่อได้ไม่มากนัก ชำระหนี้ได้ไม่เหมือนเดิม ซ้ำยังเจอสถานการณ์ล็อกดาวน์เข้าไปอีก ทำให้น่าเป็นห่วงที่สุด หากเร็วๆ นี้ยังไม่สามารถเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้
ปล่อยกู้ไปเรื่อยไม่แก้ปัญหา ต้องแก้ที่โครงสร้าง
หากความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในสามอุตสาหกรรมที่ยกมาเล่าให้ฟัง ยังไม่กลับมา จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
แน่นอนว่าจะต้องมีธุรกิจปิดตัวเพิ่มขึ้น คนตกงาน รายได้ประเทศที่ลดลง หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น สุดท้ายจะวนกลับไปกระทบชีวิตผู้คน ที่หารายได้ยากขึ้น และหาโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองยากขึ้นไปด้วย หนี้เสียของภาคธุรกิจใหญ่ๆ ที่อุ้มเศรษฐกิจประเทศมานานหลายสิบปี ในทางหนึ่งจึงเป็นเหมือนระเบิดเวลาลูกใหญ่
แน่นอนว่าทางแก้ไม่ใช่การปล่อยกู้ไปเรื่อยๆ จนภาคธุรกิจเกิดสภาวะงูกินหางตัวเอง แต่เป็นการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมให้เป็นธรรม และทุกคนสามารถแข่งขันได้ทั้งในประเทศและในระดับโลก
KPP Research ประเมินว่า ในระยะสั้น การปล่อยกู้เป็นเรื่องจำเป็นเพื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ ที่จะประคองตัวเองให้ผ่านหลักหนึ่งปีถึงสองปีนี้ไปได้ แต่การอัพสภาพคล่องไม่ทำให้ธุรกิจรายย่อย
ซึ่งเสียเปรียบทั้งการเข้าถึงสินเชื่อและเทคโนโลยี แข่งขันหรือขยับขยายได้ ดังนั้นรัฐบาลต้องแก้ไขโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายกลางและรายย่อย เข้าถึงนวัตกรรมต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงโอกาสในตลาดได้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องปรับกฎเกณฑ์เพื่อลดอำนาจของรายใหญ่ในตลาดด้วย
ในช่วงที่ COVID-19 ระบาดและเหมือนทุกอย่างถูกแช่แข็งเอาไว้ให้ไปลงมือจัดการหลังสถานการณ์กลับสู่ปกติ เราอาจจะยังไม่เห็นปัญหาก้อนใหญ่ที่เหมือนกับฐานภูเขาน้ำแข็งใต้มหาสมุทร แต่แน่นอนว่านั่นคือความท้าทายสำคัญของเศรษฐกิจ ที่วัดอนาคตของประเทศได้เลยทีเดียว
อ่านข้อมูลฉบับเต็ม https://advicecenter.kkpfg.com/…/what-loan-quality-reflect