“ฝากบอกพวกเขาด้วยว่า ถึงเขาจะขังผมได้ แต่เขาไม่อาจขังความจริงได้ ความจริง ย่อมเป็นความจริง ไม่ว่าจะอยู่ที่กรงขัง เครื่องทรมาน หรือหลักประหาร ความจริงย่อมเป็นความจริง” คำพูดของเพนกวิน ก่อนเข้าห้องพิจารณาคดีในวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา
นับเป็นเวลา 15 วันแล้ว ที่เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ หนึ่งในแกนนำราษฎร ผู้ต้องขังคดี ม.112 จากการชุมนุม 19 กันยา ประกาศประท้วงเชิงสัญลักษณ์ด้วยการ อดอาหาร และจะประทังชีวิตด้วย น้ำ นม และน้ำหวานเท่านั้น เพื่อประท้วงเรียกร้องสิทธิประกันตัวให้กับผู้ถูกกล่าวหาในคดีการเมือง หลังจากไม่ได้รับความเป็นธรรมในการต่อสู้คดี
หลังจากนั้นหลังอดอาหารได้ 8 วัน เพนกวินได้ประกาศยกระดับการอดอาหาร ด้วยการลดเหลือแค่การดื่มน้ำเปล่า และเกลือแร่เท่านั้น เนื่องจากผิดหวังที่การอดอาหารยังไม่สามารถปลุกสามัญสำนึกของผู้พิพากษา ได้รับโทษข้อหาละเมิดอำนาจศาล ถูกกักขัง 15 วัน และถูกย้ายตัวจากเรือนจำ ไปยังสถานกักขังปทุมธานีแทน
หลังการอดอาหาร เพนกวินมีอาการอ่อนล้าลง แต่ภายหลังเริ่มมีอาการเหนื่อยมากขึ้น ง่วงนอน อ่อนเพลีย และต้องนอนกลางวัน รวมถึงเคลื่อนไหวได้ช้าลง แต่ถึงอย่างนั้นจากการเข้าเยี่ยมของทนายของ iLaw ในวันที่ 23 มีนาคม เพนกวินกบอกกับทนายว่า พออดข้าวแล้วสมองจะไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น เหลือแค่หัวใจใช้สัมผัสความรู้สึก ยิ่งคิดถึงเพื่อนมากกว่าเดิม
สำหรับเมื่อวานนี้ ศาลมีนัดตรวจพยานคดีการชุมนุม 19 กันยา ซึ่งกฤตยา กิจกาญจน์ ทนายของ iLaw ที่เข้าร่วมฟังการพิจารณาคดีในศาลได้เล่าให้ The MATTER ฟังถึงสภาพร่างกายของเพนกวินที่เธอพบเห็นว่า “เพนกวินเข้ามาในห้องด้วยรถเข็น มีพยาบาล 2 คนเข็นเข้ามา มีเสาห้อยน้ำเกลือไว้ หน้าเพนกวินซีดมากๆ หัวตั้งไม่ได้ ต้องเอนหัวพาดลงไปกับพนักข้างหลัง มีอาการไอ เหมือนจะอ้วกอยู่ตลอดเวลา”
เธอยังเล่าว่า เพนกวินผอมลงอย่างผิดตา ดูง่วงนอนตลอดเวลา โดยเธอเข้าเยี่ยมเพนกวินล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาที่ผ่านมา เธอบอกว่า “ตอนนั้นเพนกวินยังยิ้มได้ คุยได้ ในศาลวันนี้ เพนกวินไม่ได้พูดเลย แต่พี่ๆ ทนายเองก็พยายามเวียนกันไปพูดคุยด้วย”
ขณะที่แม่สุรีรัตย์ ชิวารักษ์ แม่ของเพนกวินเล่าให้ The MATTER ฟังถึงอาการของลูกชาย จากที่เธอพบเมื่อวานในศาลว่า “สิ่งที่แม่สังเกตุได้คือ แม่เห็นที่เท้าเพนกวินเป็นสีคล้ำ แม่ก็พยายามทดสอบ ไปจับๆ ว่าเขารู้สึกไหม และพี่พยาบาลที่พามาก็พยายามมาทดสอบเช่นกัน ซึ่งกลายเป็นว่าเพนกวินเขารู้สึกว่ามีอะไรมาโดนเท้า แต่เขารู้สึกไม่เท่ากันสองข้าง ความรู้สึกคล้ายตอนที่ฉีดยาชา ดังนั้นเราเลยคิดว่าน่าจะมีปัญหาแล้ว เลยพยายามทำการขอเรื่องที่จะพาเพนกวินไปรักษาที่โรงพยาบาลที่เราไว้ใจ”
แม่สุเล่าอีกว่า เมื่อวานนี้ เจ้าหน้าที่เคร่งมาก พยายามกันไม่ให้คุยกับลูก แต่ทนายก็ได้ขออนุญาตศาลให้แล้ว “เราได้คุยกับเพนกวินนิดเดียว แม่ได้เข้าไปกอดเพนกวินแปปเดียว แล้วเขาก็พาเพนกวินไปพัก ตอนก่อนเลิกแม่ก็พยายามเข้าไปหาเขาอีกครั้ง เพื่อจะเข้าไปดูอาการที่เท้าเขาอีกครั้ง เพราะตอนแรกตัวเพนกวินเองยังไม่ทันสังเกตุรอยช้ำนี้เลย เขายังคิดว่าเป็นแค่รอยเลอะ แต่แม่ก็เห็นว่าสีผิวมันคล้ำ เราก็กลัวว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”ทั้งแม่สุยังบอกกับเราว่า เธอกังวลว่าเพนกวินอาจจะถูกทำให้มีอันตราย รวมถึงการติดเชื้อในกระแสเลือด เหมือนนักโทษการเมืองคนอื่นๆ เพราะไม่มีแพทย์ที่ไว้ใจเข้าไปตรวจ
“แม่ทำเรื่องให้เพนกวินได้เข้ารักษาในโรงพยาบาลแล้ว ศาลปฏิเสธบอกว่าไม่ใช่อำนาจของศาล เป็นของราชทัณฑ์ แล้วเขาก็บอกว่าโรงพยาบาลที่เรายื่นไป ก็ยังไม่คอนเฟิร์มว่าจะรับ แต่สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องการอนุมัติของราชทัณฑ์ สิ่งที่เราทำ เราพยายามทำเพื่อจะรู้ว่าลูกของเราปลอดภัยจริง เพราะแม่ก็ไม่ได้เข้าเยี่ยมเลย ทนายก็จะเห็นแค่ตอนนั่งครึ่งตัวเวลาเยี่ยม และจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในเวลาอื่น”
นอกจากเรื่องการทำเรื่องเข้ารับรักษาที่ถูกปฏิเสธแล้ว จากการโพสต์ของทนายหลายๆ ท่าน ยังชี้ให้เห็นว่า เมื่อวานนี้เจ้าหน้าที่ในศาลได้เคร่งครัดมากๆ แม่สุเองก็ยืนยันกับเราเช่นนั้น โดยเธอเสริมว่า เขาให้ครอบครัวผู้ต้องหาเข้าได้แค่ 2 คน “เรามีกัน 3 คน พ่อ แม่ และน้อง เราไม่สามารถเข้าไปได้หมด ต้องวนกันเข้าไป เรารอจะเจอลูกระหว่างเข็นรถออกจากลิฟต์ เขาก็ไม่ให้เรารอดู หรือเราจะขยับตัว เขาก็แทบจะไม่ให้ แม้ว่าศาลจะอนุญาตให้เราเจอลูกได้ เขาห้ามเราตลอด ครั้งก่อนเรายังนั่งกับลูกได้ ตอนนี้เขากันเราจากลูก ได้เห็น แต่ไม่ได้สัมผัส”
ซึ่งแม่สุเองก็เล่าว่า จากการพูดคุยของเธอ กับเจ้าหน้าที่บางท่าน ก็มองเช่นกันว่า วิธีการที่เคร่งครัดนี้ไม่ยุติธรรม “เขามองว่ามันโหดร้ายราวกับว่าจะเป็นคดีตัดสินแล้วมีโทษประหารชีวิต เพราะประหารชีวิตจะกันครอบครัวออก เพราะกลัวมีการชิงตัว แต่ลูกเรายังไม่ถูกตัดสินโทษผิดเลย แม่ก็คิดว่ามันไม่ยุติธรรม”
สุดท้าย แม้เพนกวินจะร่างกายอ่อนแอ แต่แม่สุก็เล่าว่า จิตใจ และอุดมการณ์ของเพนกวินยังคงเข้มแข็งอยู่ “ใจเขาแกร่งมากเลย แน่วแน่มาก อย่างที่บอกเขายอมพลี ยอมอุทิศแล้ว ถ้าเกิดจะทำให้สังคมไทยดีขึ้น เขายอมถ้าการกระทำของเขาจะทำให้ใครคิดได้ จริงๆ หลายๆ คนก็มาบอกแม่ว่าให้บอกให้เพนกวินเลิก แต่ทุกคนก็เคารพในสิ่งที่เพนกวินเลือก”
นอกจากเพนกวินแล้ว เมื่อวานนี้ รุ้ง ปนัสยา แกนนำ และผู้ต้องหาคดี 112 อีกคนก็ได้ประกาศจะอดอาหารประท้วงด้วยเช่นกัน โดยเธอแถลงต่อศาลว่า “เราสู้เพื่ออยู่ ไม่ได้สู้เพื่อตาย แต่ถ้าจะมีใครตาย ก็ขอให้ตายเพื่อคนที่ยังอยู่ และวันนี้หากไม่ได้รับสิทธิประกันตัวอีก จะขอประกาศอดอาหารด้วย โดยจะเริ่มจากการรับประทานวันละมื้อ และลดลงเหลือรับประทานแค่น้ำ นม และสารอาหาร ขอให้การตายของเราเป็นสายธารนำความหวังสู่สังคม”
อ้างอิงจาก
https://www.facebook.com/iLawClub/photos/a.10150540436460551/10165238340435551/
https://www.facebook.com/299528675550/posts/10165219096865551/
https://voicetv.co.th/read/AsRoF4Gnm
#Brief #TheMATTER