ประเทศไทยฉีดวัคซีน COVID-19 มาแล้ว 52 วัน แต่มีประชากรที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกยังไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ท่ามกลางความคาดหวังของประชาชนว่า การบริหารจัดการวัคซีนจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่การสื่อสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กลับถูกตั้งคำถามอยู่หลายครั้ง
1) มีกรณีเพจ ‘ไทยรู้สู้โควิด’ ที่ทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ได้เผยแพร่อินโฟกราฟิกว่าด้วย ‘วัคซีน 4 เข็มสร้างภูมิคุ้มกันทางใจ’ ออกมา โดยแนะนำว่าให้ประชาชนมีวัคซีนความหวัง วัคซีนไม่ตื่นตระหนก และวัคซีนเข้าใจ
2) แม้ว่าการเปรียบเทียบเช่นนี้จะดูเป็นกิมมิคในการสื่อสาร แต่ผู้คนจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามว่า นี่คือ ‘วัคซีนทิพย์’ ที่กำลังทำให้เรื่องที่ควรจะจริงจัง กลายเป็นประเด็นที่น่ารักอ่อนละมุนเกินไป ทั้งที่เรื่องของวัคซีนนั้นคือสิ่งสำคัญมากที่สุดในเวลานี้ ทำให้การสื่อสารเรื่องสถานการณ์ COVID-19 กลับมาถูกตั้งคำถามกันอีกรอบ
3) The MATTER ต่อสายคุยกับ รศ.พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล จากคณะนิเทศศาสตร์ เพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับการสื่อสารในภาวะวิกฤตอย่างที่ควรจะเป็นในช่วงเวลานี้
4) อาจารย์ พิจิตรา บอกว่า หลักของการสื่อสารในภาวะวิกฤตคือ ต้องรู้ว่าตอนนี้ผู้คนต้องการฟังหรือรับข้อมูลเรื่องอะไร โดยประเด็นสำคัญที่สุดในเวลานี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องการป้องกันตัวเองแล้ว (เนื่องจากประชาชนได้มีความรู้เรื่องนี้มาแล้ว) แต่มันคือการให้ความมั่นใจกับประชาชน ผ่านเรื่องการฉีดวัคซีน และโรดแมปของประเทศหลังจากนี้มากกว่า
“รัฐต้องพูดเรื่องอื่นแล้ว เพราะวิกฤตนี้มันมีความคืบหน้าของมันอยู่ มันเริ่มจากการเป็นโรคอุบัติใหม่ในต้นปีที่แล้ว แต่ตอนนี้ทั่วโลกอยู่ในช่วงในการฟื้นฟูแล้ว เริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ สามารถฉีดวัคซีนได้ เราเห็นประเทศนิวซีแลนด์และออสเตรเลียที่เดินทางไปมาหากันได้ คือมันเข้าสู่ phase ที่คลี่คลายปัญหาแล้ว ดังนั้น ถ้ารัฐยังใช้การสื่อสารประเด็นเดิม ก็ไม่ตรงกับความต้องการของผู้รับสาร ที่ต้องการความรู้อื่นๆ แล้ว” อาจารย์ พิจิตรา ระบุ
5) ประเด็นสำคัญที่รัฐต้องสื่อสารอย่างจริงจังและเข้มข้นขึ้น คือความคืบหน้าการฉีดวัคซีน จริงอยู่ที่การสื่อสารให้ประชาชนป้องกันตัวเองคือสิ่งจำเป็น แต่น้ำหนักต้องลดน้อยลงกว่านี้ และหันมาสื่อสารเรื่องวัคซีนแทน
“มันต้องเป็นเรื่องวัคซีนและโรดแมปของการคลี่คลายสถานการณ์ เพราะมันเป็นตัวตอบโจทย์จริงๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกลับมา คนเดินทางได้ เศรษฐกิจกลับมาได้ ป้องกันโรคด้วย นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่คนสงสัย เช่น การจัดลำดับความสำคัญในการฉีดวัคซีน แผนการฉีดจะไปทางไหนบ้าง”
“เรื่องการรายงานไทม์ไลน์ให้เป็นข้อมูลก็ดี แต่จริงๆ นอกจากไทม์ไลน์แล้ว สิ่งที่มันน่าจะเป็นข้อมูลออกเพิ่มขึ้นด้วย ว่าอะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ติดเชื้อจากภายในร้าน เช่น การไปร้านนั่งนานขนาดไหนถึงจะติด แต่พอเป็นไทม์ไลน์ปุ๊ปนำไปสู่การปิด ธุรกิจมันก็พังได้”
6) อาจารย์ พิจิตรา เชื่อว่า ถึงแม้รัฐจะมีแผนการฉีดและโรดแมปการเปิดประเทศอยู่แล้วในมือ แต่ตอนนี้ยังสื่อสารออกมายังประชาชน เพื่อสร้างความมั่นใจได้ไม่มากพอ โดยตัวชี้วัดว่า การสื่อสารของรัฐชัดเจนพอไหม อาจดูได้จากการที่ประชาชนทั่วไปสามารถอธิบายแผนดำเนินการแทนรัฐได้
“ถ้าประชาชนตอบไม่ได้ แปลว่าคุณอาจจะมีสิ่งนี้ แต่มันสื่อมาไม่ถึงเรา” อาจารย์ พิจิตรา กล่าว
7) เสียงสะท้อนความเป็นห่วง และความจำเป็นที่รัฐต้องให้ความสำคัญ กับการสื่อสารเรื่องการจัดการวัคซีน ไม่ได้เกิดขึ้นจากเพียงแค่ภาควิชาการและประชาชนเพียงอย่างเดียว เพราะก่อนหน้านี้ ยังมีเสียงจาก 40 ซีอีโอภาคเอกชน ที่ออกมาเรียกร้องให้ภาครัฐต้องจัดหาวัคซีนให้เพียงพอกับทุกคน
“ผลสรุปจากการประชุม ซีอีโอทุกบริษัทเห็นตรงกันว่าขณะนี้ประเทศไทยได้รับการฉีดวัคซีนไปเพียง 0.4% ของประชากรเท่านั้น (ข้อมูล ณ วันที่ 19 เม.ย 64) ซึ่งถือว่าล่าช้ามากสำหรับการที่จะเปิดประเทศที่จะต้องฉีดให้ได้ถึง 70% ของประชากร ภาครัฐจำเป็นต้องจัดหาวัคซีนให้เพียงพอกับทุกคน” สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าว
จึงดูเหมือนว่า ในเวลานี้สิ่งสำคัญที่สุด ทั้งจากประชาชนและเอกชนต้องการได้รับความมั่นใจจากรัฐ จึงอยู่ที่ความคืบหน้าการฉีดวัคซีน การบริหารจัดการวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงแผนการที่จะพาประเทศออกไปสู่วิกฤตได้
การสื่อสารที่เน้นย้ำเพียงแค่ให้ประชาชนป้องกันตัวเอง หรือมี ‘วัคซีนทิพย์ทางใจ’ ไปพลางๆ ก่อนอาจจะไม่ตอบโจทย์ปัญหา เท่ากับการสื่อสารเรื่องความคืบหน้าเรื่องวัคซีนที่จะเป็นทางออกมากกว่า
อ้างอิงข้อมูลเพิ่มเติมจาก
https://www.facebook.com/thaimoph/photos/291664105776833
https://www.bbc.com/thai/thailand-56811305
https://edition.cnn.com/travel/article/australia-new-zealand-travel-bubble-intl-hnk/index.html
https://www.thairath.co.th/news/politic/2073186
https://www.dailynews.co.th/article/838205
#explainer #TheMATTER