“รัฐบาลและ ศบค. เร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม โดยตั้งเป้าหมายว่าจะต้องจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม ให้ครบ 100 ล้านโดส เพื่อฉีดให้กับประชาชน 50 ล้านคน ภายในสิ้นปี 2564 นี้”
.
คือคำแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจและช่องทางออนไลน์ ตอนสามทุ่มตรงของคืนวันศุกร์ที่ 23 เม.ย.2564 ที่ผ่านมา
.
คำแถลงที่คล้ายเป็น ‘คำมั่นสัญญา’ ดังกล่าว ชวนให้เรากลับไปคิดต่อว่า การจะฉีดวัคซีน COVID-19 ให้กับคนไทย 100 ล้านโดส ภายในปีนี้นั้น จะเป็นจริงได้มากแค่ไหน?
.
หากเป้าหมายดังกล่าวจะทำให้เป็นจริงได้ จะต้องทำอย่างไร และมีปัจจัยสำคัญๆ อะไรบ้าง
.
1.) การฉีดวัคซีน COVID-19 ให้กับคนไทยเพิ่ง ‘ล้านแตก’ คือเกิน 1 ล้านโดสไปเมื่อวันที่ 23 เม.ย.2564 ซึ่งตรงกับ ‘วันที่ 55’ นับแต่เริ่มฉีดวัคซีนในวันที่ 28 ก.พ.2564 ที่อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข รับวีคซีนเป็นเข็มแรกของเมืองไทยนั่นแหละ
.
2.) หากนำตัวเลขดังกล่าวมาคิดหา ‘ค่าเฉลี่ย’ ก็จะพบว่า ภาครัฐไทยฉีดวัคซีน COVID-19 ให้ประชาชนได้เพียงวันละกว่า 1.8 หมื่นโดสเท่านั้น แม้ระยะหลัง จะมีความพยายามในการเร่งฉีดวัคซีนจนตัวเลขค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง (ล่าสุด เพิ่มเป็นเฉลี่ย 2 หมื่นโดส/วัน)
– ข้อมูลการฉีดวัคซีนจากกรมควบคุมโรค: https://ddc.moph.go.th/dcd/pagecontent.php?page=641&dept=dcd
.
3.) หากนับจากวันนี้ (25 เม.ย.2564) ถึงสิ้นปี จะเหลือวันให้ฉีดวัคซีน เพียง 250 วัน กับตัวเลขวัคซีนราว 99 ล้านโดส หรือต้องฉีดวัคซีนให้ได้วันละประมาณ 4 แสนโดส !
แม้อาจฟังดูมาก แต่ที่ผ่านมา ก็มีบางวันที่รัฐฉีดวัคซีนได้ถึง 1.5 แสนโดส (21 เม.ย.2564) ดังนั้นหากเร่งเครื่องอีกนิดหน่อย และบริหารจัดการดีๆ ก็น่าจะพอมีความเป็นไปได้ ‘ในทางตัวเลข’
.
4.) แต่อีกหนึ่งในป้จจัยสำคัญ ก็คือ ‘จำนวนวัคซีน’ ที่รัฐมีอยู่ในมือ
หลายคนอาจไม่รู้ว่า ณ ขณะนี้ ไทยมีวัคซีน COVID-19 อยู่เพียง 2.618 ล้านโดสเท่านั้น เป็นของ Sinovac ที่ถูกท้วงติงเรื่องประสิทธิภาพต่ำ ไม่รวมถึงผลข้างเคียงอันตราย กว่า 2.5 ล้านโดส (กระจายไปฉีดทั่วประเทศทั้ง 77 จังหวัด) และ AstraZeneca ที่นำเข้ามาอีกราว 1.18 แสนโดส (ยังให้ฉีดแค่ใน 6 จังหวัด กทม.และปริมณฑล รวมถึง จ.อุดรธานี)
หรือต่อให้สามารถทำตามแผน นำ Sinovac เข้ามาเพิ่มในเดือน พ.ค.2564 อีก 1 ล้านโดส และ AstraZeneca ที่โรงงานของบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด หรือ SBS ผลิต สามารถส่งมอบในเดือน มิ.ย.2564 ได้ 6 ล้านโดส
.
6.) ครึ่งปีแรกของปี 2564 ไทยจะมีวัคซีน COVID-19 อยู่ในมือราวๆ 9.6 ล้านโดสเท่านั้น สมมุติฉีดได้ครบ 100% ที่เหลือ 90.4 ล้านโดส จะต้องฉีดให้ได้ภายในครึ่งปี หรือเฉลี่ยวันละ 5 แสนโดส !!
.
7.) แต่โจทย์สำคัญข้อต่อมาก็คือ ถึงตอนนี้ รัฐเองมีวัคซีน COVID-19 ที่สามารถ ‘ยืนยันได้’ ว่าจะส่งมาให้ในปีนี้ เพียง 64.5 ล้านโดส จาก 2 ยี่ห้อ ก็คือ Sinovac ของจีน 3.5 ล้านโดส กับ AstraZeneca ทั้งที่นำเข้าและผลิตในไทย อีก 61 ล้านโดส เท่านั้น
ส่วนยี่ห้ออื่นๆ ยังอยู่ระหว่างเจรจาทั้งสิ้น แม้จะอ้างว่า ‘เจรจาสำเร็จแล้ว’ ก็ตาม ทว่าก็ยังไม่มีความแน่นอน ทั้งจำนวนและระยะเวลาส่งมอบสินค้า ไม่ว่าจะของ Pfizer จากสหรัฐฯ หรือ Sputnik V จากรัสเซีย ที่ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์อ้างว่าขอซื้อแล้ว เจ้าละ 5-10 ล้านโดส
.
8.) สมมุติว่าการเจรจาขอซื้อ 2 เจ้าใหม่ประสบความสำเร็จ ได้จำนวนตามที่ขอและส่งมอบได้ภายในปีนี้ ยอดวัคซีน COVID-19 ที่รัฐมีก็จะอยู่ที่ราว 84.5 ล้านโดสเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะไปเอามาจากไหน หรือต้องอาศัยฝีมือการเจรจาของเอกชน ที่ระบุว่าจะไปหาวัคซีน 10-15 ล้านโดสมาฉีดให้กับลูกจ้างของตัวเอง
.
9.) แม้เราจะเอาใจช่วยให้รัฐสามารถหาวัคซีนมาฉีด COVID-19 ให้ได้ 70% ของประชากรไทยทั้งหมด ที่มีอย่างน้อย 66.2 ล้านคน หรือต้องได้ราว 46.3 ล้านคน (ฉีดคนละ 2 โดส หรืออย่างน้อย 92.6 ล้านโดส) เพื่อสร้าง herd immunity หรือ ‘ภูมิคุ้มกันหมู่’ ตามทฤษฎี เร็วๆ
แต่ก็อย่างที่ไล่เรียงข้อมูลมาข้างต้น คือมันมีปัจจัยต่างๆ มากมายที่ต้องเคลียร์เพื่อให้คำสัญญาจากปากนายกฯ เป็นจริงได้ ทั้ง ‘ประสิทธิภาพการฉีดรายวัน’ ‘จำนวนวัคซีนที่มีอยู่ในมือ’ ‘ไทม์ไลน์การมาถึงของวัคซีน’
ซึ่งปัจจัยต่างๆ ข้างต้น ต้องอาศัยการความสามารถในการบริหารจัดการอย่างสูง ที่น่าเสียดายว่า ไม่ใช่ความสามารถที่โดดเด่นของรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ หรือเอาเข้าจริง อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘จุดอ่อน’ เสียด้วยซ้ำ
.
10.) เฉพาะหน้า รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ยังต้องแก้ไขปัญหาเร่งด่วนรายวัน ทั้งการส่งต่อผู้ป่วยให้ถึงมือบุคลากรทางการแพทย์ จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ที่พุ่งขึ้นเป็น new high อยู่ตลอด ทรัพยากรต่างๆ ที่ต้องเตรียมไว้ให้เพียงพอ ทั้งยา ชุด เตียง ห้อง ฯลฯ ไปจนถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโรคต่างๆ ทั้งในเชิงตัวบุคคลและในเชิงธุรกิจ
การจะฉีดวัคซีน COVID-19 ให้ได้ 100 ล้านโดส กับประชาชน 50 ล้านคน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็ต้องทำ และต้องทำให้สำเร็จ เพราะจะเป็นบทพิสูจน์ฝีมือของรัฐบาลที่สำคัญยิ่ง