หลายประเทศจัดการสถานการณ์ COVID-19 ได้อย่างเป็นระบบ ตัวอย่างที่ชัดเจน คงหนีไม่พ้นสหรัฐฯ ซึ่งเคยเป็นประเทศ ที่มีผู้เสียชีวิตรายใหม่จาก COVID-19 ต่อวันสูงสุดในโลก จนตอนนี้ พวกเขากลับกลายเป็นประเทศ ที่จัดการสถานการณ์ COVID-19 ได้ดีเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทบาทการเป็นผู้นำในการฉีดวัคซีน
ทุกวันนี้ สหรัฐฯ มีวัคซีนเพียงพอ ต่อการฉีดให้แก่ผู้ใหญ่ ที่มีอายุมากกว่า 16 ปีขึ้นไปทุกคน คำถามที่ตามมาคือ อะไรทำให้พวกเขากลายมาเป็นผู้นำด้านการฉีดวัคซีนของโลก ด้วยอัตราการฉีดวัคซีนให้แก่พลเมืองของตน เร็วกว่า 4 เท่าตัว เมื่อเทียบกับการฉีดวัคซีนในทั่วโลก ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสำเร็จดังกล่าว มีความเกี่ยวเนื่องกับภาวะผู้นำ ระหว่างยุคสมัยของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) และ โจ ไบเดน (Joe Biden) อยู่ไม่น้อย เมื่อเปรียบเทียบกัน
CNN เปิดเผยการสัมภาษณ์ กับบุคลากรที่ทำงานใกล้ชิด ในฝ่ายบริหารสถานการณ์ COVID-19 ของสหรัฐฯ ยุคไบเดนว่า ไบเดนเองเผชิญหน้ากับมรดกจากยุคทรัมป์ ที่ทำให้มีความต้องการวัคซีนมีมาก แต่ตัววัคซีนที่จะใช้กลับผลิตออกมาได้น้อย เช่นเดียวกันกับการที่ไม่มีแผนการในระยะยาว สำหรับการฉีดวัคซีนให้แก่พลเมืองสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี รายงานระบุว่า ไบเดนปรับนโนบายให้แก่ทีมทำงานของตนเองอย่างหนัก เพื่อให้รัฐบาลกลางรับมือกับสถานการณ์ COVID-19 ที่ย่ำแย่ได้ทันกาล
ไบเดนเริ่มจากการตั้งเป้าหมายการฉีดวัคซีน 100 ล้านโดส ภายใน 100 วัน หลังเขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี รวมถึงการคัดเลือกเจ้าหน้าที่ จากกองทัพและบุคลากร จากหน่วยงานบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน ของรัฐบาลกลาง เพื่อเข้ามาทำหน้าที่ในการช่วยฉีดวัคซีน ไบเดนยังได้ตั้งโครงการเภสัชภัณฑ์ของรัฐบาลกลาง และสนับสนุนเงินทุนให้แก่ศูนย์สุขภาพประจำชุมชน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ทุกคน
ยิ่งไปกว่านั้น ไบเดนได้ออกมาตรการเยียวยา COVID-19 ด้วยจำนวนเงินว่า 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 60 ล้านล้านบาท) เพื่อช่วยเหลือประชาชน และทำให้พวกเขาเข้าถึงวัคซีน จากรายงานของทำเนียบขาวระบุว่า สหรัฐฯ มีศูนย์ฉีดวัคซีนกว่า 70,000 ศูนย์ เปิดให้บริการประชาชนทั่วทั้งประเทศ โดยประชาชนทุกคน สามารถเดินทางไปขอรับการฉีดวัคซีนได้ฟรีทุกเมื่อ
ไบเดนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา กับมรดกจากยุคทรัมป์ ด้วยสถิติการตายจาก COVID-19 ต่อวันในสหรัฐฯ กว่า 3,000 ราย รวมถึงผู้ติดเชื้อรายใหม่นับแสนรายในทุกวัน ในช่วงนั้น มีชาวสหรัฐฯ จำนวนเพียงแค่ 15 ล้านคน ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ไบเดนเริ่มการจัดการสถานการณ์ทุกอย่าง ด้วยการตั้งผู้ชำนาญการด้านวิทยาศาสตร์ ที่ CNN ระบุว่า “ถูกเมินเฉยมาตลอดในช่วงปีก่อนที่ไบเดนจะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี” เพื่อคอยให้คำปรึกษาแก่เขา ในด้านการจัดการ และการประเมินสถานการณ์ COVID-19 ของสหรัฐฯ แบบรายวัน และระยะยาว
เจฟฟ์ เซียนส์ (Jeff Zients) ผู้ประสานงานด้าน COVID-19 ของทำเนียบขาว กล่าวถึงสถานการ์การจัดการ COVID-19 ในยุคสมัยก่อนหน้าว่า “ตอนนั้นยังไม่มีแผนการฉีดวัคซีน เข้าที่แขนของประชาชนเลยด้วยซ้ำ ในขณะที่วัคซีนจาก Pfizer และ Moderna ในล็อตแรกส่งมาถึงสหรัฐฯ แล้ว” ในขณะที่อดีตคณะทำงานของทรัมป์อย่าง พอล แมงโก (Paul Mango) ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่า นโยบายในยุคทรัมป์ เลือกจะให้ท้องถิ่นตัดสินใจมากกว่ารัฐบาลกลาง โดยพวกเขาอ้างว่า คนในท้องถิ่นย่อมรู้สถานการณ์ของท้องถิ่นมากกว่ารัฐบาลกลางเอง
นพ.แอนโธนี่ ฟัลชี่ (Anthony Fauci) แพทย์คนสำคัญ ในการจัดการสถานการณ์ COVID-19 ของสหรัฐฯ และที่ปรึกษาของไบเดนกล่าวว่า “เขา (ไบเดน) กระวนกระวายใจ” นพ.ฟัลชี่กล่าวถึงไบเดน “เขาถามคำถามที่เฉพาะเจาะจง ‘เอาล่ะ อย่างนี่ทำได้ไหม’ ‘ทำไมเราไม่ทำแบบนี้ล่ะ’ ‘เราทำได้ดีที่สุดแล้วหรือยังในเรื่องนี้’ ไม่ใช่คำถามเชิงตำหนิ หรือปะทะกับผู้ถูกถาม แต่เป็นคำถามเชิงบวก ในความพยายามที่จะให้ทุกคน ทำสุดความสามารถของตัวเอง”
ยิ่งไปกว่านั้น ไบเดนออกแถลงการณ์ถึงประชาชน ต่อเหตุการณ์หรือหลักชัย และสถิติสำคัญในทุกครั้งด้วยตนเอง ตั้งแต่การตั้งเป้าหมายการฉีดวัคซีน 100 ล้านโดส ภายใน 100 วัน หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ก่อนจะปรับมาเป็น 200 ล้านโดส ทั้งนี้ ไบเดนได้ทำให้เป้าหมายดังกล่าวสำเร็จเกินคาดไปแล้ว จนปัจจุบัน พวกเขายังคงเชิญชวน และขอร้องให้ประชาชนออกมาฉีดวัคซีนกันให้ครบทุกคน
ตอนนี้ มีประชากรผู้ใหญ่สหรัฐฯ จำนวนครึ่งหนึ่ง ที่ได้รับการฉีดวัคซีนในโดสแรกไปแล้ว ถึงแม้ว่าการจะทำให้ผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ อีกครึ่งหนึ่งได้รับวัคซีน จะไม่ใช่เรื่องง่ายมากนัก แต่การดำเนินการฉีดวัคซีนของสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ นพ.ฟัลชี่กล่าวว่า “เมื่อคุณฉีดวัคซีนไปเรื่อยๆ วันต่อวัน มันจะมาถึงจุดที่ไวรัสไม่สามารถส่งต่อไปไหนได้แล้ว เพราะถ้าคุณมีประชากรจำนวนมาก ที่ได้รับวัคซีน ไวรัสมันก็ไม่มีที่จะไปต่อ”
คงไม่ต้องสงสัยว่า สหรัฐฯ ได้กลายเป็นผู้นำด้านการฉีดวัคซีนของโลกไปแล้ว ทั้งนี้ จำนวนวัคซีนที่สหรัฐฯ มีให้บริการประชาชน อยู่ในเกณฑ์เพียงพอ อีกทั้งล่าสุด ไบเดนยังได้ทำการส่งวัคซีน AstraZeneca ในคลังของสหรัฐฯ จำนวน 60 ล้านโดส ออกไปช่วยเหลือประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อินเดีย ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับ COVID-19 สายพันธุ์กลายพันธุ์ ที่มีอัตราความรุนแรงสูง
สหรัฐฯ ยังได้ใช้วิธีการในการออกโฆษณา รวมถึงได้มี นักร้อง นักแสดง ที่ต่างออกมาเชิญชวน ให้ประชาชนออกไปรับการฉีดวัคซีน เช่นเดียวกันกับคำแถลงของไบเดน ที่เรียกร้องให้ประชาชนออกมาฉีดวัคซีน เพื่อที่จะได้เป็นการปกป้องตนเอง ครอบครัว และเพื่อนบ้าน สหรัฐฯ ไม่ได้ประสบกับภาวะการคลาดแคลนวัคซีน หรือวัคซีนด้อยคุณภาพแล้ว และตอนนี้ พวกเขากำลังมุ่งหน้าสู่จุดท้าทายใหม่ เมื่อ COVID-19 มีสายพันธุ์กลายพันธุ์เกิดขึ้น กับการแข่งกับเวลา เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้ฉีดวัคซีน ที่พวกเขาควรจะได้รับ
อ้างอิงจาก
https://edition.cnn.com/2021/04/26/politics/biden-100-days-covid/index.html
https://thematter.co/brief/141017/141017
https://thematter.co/brief/140807/140807
https://thematter.co/brief/138468/138468
#Explainer #TheMATTER #ไบเดน #วัคซีน