ประเทศไทยมีการพูดคุยถึงการฉีดวัคซีนต่างผู้ผลิตในโดสแรกและโดสที่สอง แต่ยังต้องรอความชัดเจน ล่าสุด หลายประเทศเริ่มใช้มาตรการนี้แล้ว โดยนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า มันอาจสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้นกว่าเดิม
หลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร เยอรมนี แคนาดา สวีเดน ฝรั่งเศส สเปน และอิตาลี ได้อนุญาตให้ประชาชนของตัวเอง สามารถรับวัคซีนต่างผู้ผลิต ในโดสแรกและโดสที่สองได้ โดยส่วนใหญ่ ประเทศเหล่านี้มีการฉีด AstraZeneca ให้แก่ประชาชนในโดสแรก ก่อนจะพบผลข้างเคียงของอาการลิ่มเลือด
ประเทศดังกล่าว มีการตัดสินใจอนุญาตให้ประชาชนสามารถ เลือกรับวัคซีนต่างผู้ผลิตในโดสที่สองได้ เช่นเดียวกับเกาหลีใต้ ที่เพิ่งประกาศมาตรการใหม่ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ในการฉีดวัคซีน Pfizer โดสที่สอง ให้แก่บุคลากรด่านหน้า ที่เคยได้รับวัคซีนของ AstraZeneca ไป
ปัจจัยหลักนอกจากการเลี่ยงผลข้างเคียง ของอาการลิ่มเลือดแล้ว หลายประเทศกำลังประสบอยู่กับการขาดแคลนวัคซีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัคซีนจาก AstraZeneca ที่ไม่สามารถจัดส่งได้ตามกำหนดเวลา แต่เพียงแค่การจัดส่งที่ล่าช้า ไม่สามารถทำให้รัฐบาลต่างๆ ตัดสินใจออกมาตรการฉีดวัคซีนต่างโดสต่างผู้ผลิตโดยทันที
มีหลักฐานทางวิทยาศาสต์บ่งชี้ว่า ในภาพรวมแล้วนั้น การฉีดวัคซีนต่างโดสต่างผู้ผลิต เป็นวิธีการที่ปลอดภัย ถึงแม้จะมีอาการข้างเคียงเล็กน้อยในระยะแรกๆ เช่น การเป็นไข้ ปวดหัว และอ่อนเพลีย “จากสิ่งที่เราเรียนรู้มาตลอด 18 เดือน ของสิ่งที่น่าตกใจอย่าง COVID-19 อย่าพูดว่าทำไม่ได้หากยังไม่เคยลองทำ เพราะมันเป็นเรื่องยากที่เราจะหาเหตุผล ที่จะไม่เสี่ยงกับอะไรใหม่ๆ ด้วยการทดลองกับภูมิคุ้มกัน ที่ได้รับการทดสอบมาแล้ว” ดาเนียล อัลท์แมนน์ (Daniel Altmann) นักภูมิคุ้มกันวิทยาจาก Imperial College London ระบุว่าการฉีดวัคซีนต่างโดสต่างผู้ผลิต คุ้มค่าที่จะเสี่ยงมากกว่า
ทางการของแคนาดาออกมาระบุว่า การฉีดวัคซีนของ Moderna กับ Pfizer สามารถฉีดสลับกันได้ ในขณะที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ อนุญาตให้ประชาชนรับวัคซีนสลับชนิดกันได้ ทั้งใน Moderna และ Pfizer เช่นกัน แต่ต้องเป็นเฉพาะกรณีที่วัคซีนขาดแคลนเท่านั้น ทั้งนี้ ผู้ชำนาญระบุว่า ถ้าหากวิธีการฉีดวัคซีนต่างชนิดเป็นอันตรายจริง องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ คงไม่มีทางอนุญาตให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้
ยังมีงานวิจัยอีกหลายฉบับ ที่ชี้ให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนต่างชนิด สามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี โดยมีงานศึกษาจากสเปนเมื่อไม่นานมานี้ระบุว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนของ AstraZeneca ในโดสแรก และ Pfizer ในโดสที่สอง มีผลลัพธ์ของค่าภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ในขณะที่รัสเซียเอง มีการทดลองฉีดวัคซีนต่างชนิด ระหว่าง AstraZeneca กับ Sputnik V โดยทางการรัสเซียระบุว่า มันให้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัย
การฉีดวัคซีนข้ามชนิดไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ ในช่วงการแพร่ระบาดของอีโบลาในแอฟริกา นักวิทยาศาสตร์เอง ได้นำวิธีการฉีดวัคซีนต่างชนิดมาใช้ เพื่อหวังจะหยุดการแพร่ระบาด และกระตุ้นภูมิคุ้มกันมากขึ้น ต่อผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน โดยนักวิทยาศาสตร์ตั้งทฤษฎีเอาไว้ว่า การฉีดวัคซีนต่างชนิดจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันมากขึ้น เพราะมันจะทำให้ร่างกายเรียนรู้ ที่จะรับมือกับเชื้อโรคในหลายรูปแบบได้
“มันคือข้อถกเถียงว่าหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสาม” จอห์น มัวร์ (John Moore) นักไวรัสวิทยาจาก Weill Cornell Medicine กล่าว “ข้อถกเถียงดังกล่าวจะดีจริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติจริง ในการทดลองกับ COVID-19 ซึ่งจะต้องได้รับการตัดสินจากข้อมูลจริงอีกที” โดยตอนนี้ มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดกำลังทำการทดลองฉีดวัคซีนต่างชนิด จาก AstraZeneca, Pfizer, Moderna และ Novavax เช่นเดียวกันกับสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐฯ ที่เริ่มการทดลองในลักษณะดังกล่าวแล้วเช่นเดียวกัน นี่อาจทำให้เห็นว่า การวางแผนการฉีดวัคซีนที่ชาญฉลาด อาจไม่ใช่แค่เรื่องความเร็วอย่างเดียว แต่คือการจัดการบริหารสถานการณ์ ตามกำลังและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสม
อ้างอิงจาก
https://comcovstudy.org.uk/about-com-cov2
https://papers.ssrn.com/sol3/papers.cfm?abstract_id=3854768
https://www.thelancet.com/journals/lancet/article/PIIS0140-6736(21)01115-6/fulltext
#Brief #TheMATTER