ออกตัวไว้ก่อนว่า นี่คือคำชี้แจงจากผู้เกี่ยวข้องในหน่วยงานรัฐ เชื่อ-ไม่เชื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่อยากให้ลองอ่านแล้วพิจารณากัน
ถึงตอนนี้ ‘ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์’ ทั้งฉบับราชการและฉบับประชาชน ที่เปิดรับฟังความคิดเห็นอยู่มีคนไปร่วมแสดงความคิดเห็น รวมกันกว่า 4.5 หมื่นคนแล้ว (ฉบับราชการราว 2 หมื่นคน และฉบับประชาชนราว 2.5 หมื่นคน) ถือเป็นตัวเลขที่เยอะมากๆ ในการประชาพิจารณ์ร่างกฎหมาย ซึ่งปกติแล้วมักมีความมาร่วมแสดงความคิดเห็นหลักสิบ หลักร้อย อย่างเก่งก็หลักพัน
ด้านหนึ่งอาจเกิดการแคมเปญคัดค้านร่างกฎหมายนี้อย่างแข็งขัน แต่ในอีกด้านก็อาจเกิดจากคนทั่วๆ ไปที่เห็นว่าร่างกฎหมายนี้ โดยเฉพาะฉบับราชการ จะไปกระทบกับชีวิตของพวกเขา
The MATTER ใช้ความพยายามประมาณนึงในการติดต่อเพื่อคุยกับ ‘ผู้เกี่ยวข้อง’ ในการยกร่างแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับราชการ กระทั่งได้มีโอกาสไปนั่งสนทนากับ นพ.พงศ์ธร ชาติพิทักษ์ หัวหน้ากลุ่มพัฒนากฎหมายและรอง ผอ.สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม เมื่อวันที่ 6 ก.ค.2564
และนับจากนี้ไปก็คือคำชี้แจง-คำอธิบาย ถึงหลักการ เหตุผล และที่มาที่ไปของเนื้อหาในร่างกฎหมายที่กำลังเป็นประเด็น และถูกแคมเปญคัดค้านกันอยู่ในปัจจุบัน ผ่าน key message เช่น “Alcohol is not a crime” ที่มาพร้อมแฮชแท็กอย่าง #กูจะโพสมึงจะทำไม #อารยะขัดขืน #ไม่คบ32 #savelocalalive #supportyourlocal
ที่มาที่ไป
นพ.พงศ์ธรชี้แจงว่า ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับกรมควบคุมโรค (ที่หลายๆ ฝ่ายเรียกว่า ‘ฉบับราชการ’) จัดทำขึ้นตาม พรฎ.การทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ.2558 ที่กำหนดให้หน่วยงานรัฐต่างๆ ทบทวนกฎหมายทุกห้าปี
ก่อนหน้านี้ เคยจัดเวทีรับฟังความเห็นไป เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2562 เพื่อฟังเสียงสะท้อนว่า พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มีปัญหาอะไรบ้าง ต้องปรับปรุงอะไร ผลการรับฟังความคิดเห็นหาดูได้ทั่วไป
ร่างแก้ไขฯ ฉบับราชการ เขียนไว้นานแล้ว แต่เมื่อมีร่างแก้ไขฯ ฉบับประชาชน ที่ประชาชน 1 หมื่นคนเข้าชื่อเสนอต่อสภา เข้าสู่กระบวนการรับฟังความเห็น ทางสำนักเลขาธิการสภา จึงส่งหนังสือมาสอบถามความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮฮล์ ทางเราจึงนำฉบับราชการขึ้นรับฟังความเห็นบนเว็บไซต์กรมควบคุมโรคด้วย
ยืนยันว่าไม่ใช่การลักหลับหรือแอบทำ เพราะเวทีรับฟังความเห็นก็จัดโดยเปิดเผย และการรับฟังความเห็นร่างแก้ไขฯ ฉบับราชการ ก็ทำบนเว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค
“สำหรับคนที่เข้ามาแสดงความเห็น แล้วเจอปัญหาเรื่องเว็บช้าหรือใส่ข้อมูลไม่ได้ ต้องขออภัยด้วย เพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาแสดงความเห็นมากขนาดนี้ แต่ได้ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ยืนยันว่าจะรับฟังทุกความเห็น และจะทำรายงานสรุปผลการรับฟังความเห็นร่างแก้ไขฯ ฉบับราชการ เผยแพร่อีกครั้ง คาดว่าจะใช้เวลาราว 1 เดือน โดยอาจทำเป็นรายงานสรุป เพราะข้อมูลจะเยอะมากๆ ไม่สามารถใส่ไปทุกความเห็นได้
“ผมยินดีที่มีคนมาร่วมแสดงความเห็นกันมากๆ และอยากให้ทำร่างแก้ไขฯ ทั้งฉบับราชการและฉบับประชาชน มาอ่านเทียบกับกฎหมายเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 แล้วตัดสินว่า อยากให้สังคมไทยเป็นอย่างไร โดยนอกจากเลือกว่าเห็นด้วย-ไม่เห็นด้วยกับมาตราใดแล้ว อยากให้เขียนคอมเม้นต์แสดงความเห็นมาด้วยว่าอยากให้ปรับปรุงแก้ไขอย่างไร จะได้เป็นประโยชน์กับการพิจารณาต่อไป”
นพ.พงศ์ธรยังกล่าวถึงขั้นตอนการเสนอร่างแก้ไขฯ ฉบับราชการว่า หลังรับฟังความคิดเห็นจบในวันที่ 9 ก.ค.2564 จะยังไม่ส่งไปที่สภาทันที (ตามที่คนบางกลุ่มเข้าใจ) แต่จะต้องส่งไปให้ที่ประชุม ครม.พิจารณา ให้กฤษฎีกาตรวจทาน แล้วถึงจะไปที่สภา ตามขั้นตอนปกติ
การห้ามโฆษณา
ประเด็นที่หลายๆ ฝ่ายเรียกร้องให้แก้ไขมาหลายปี สำหรับ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ก็คือ มาตรา 32 ว่าด้วยการ ‘ห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์’ ที่มีปัญหาทั้งเนื้อหากฎหมายคลุมเครือ, เปิดช่องให้ตีความบังคับใช้อย่างกว้างขวาง, อัตราโทษสูงมากโดยเฉพาะค่าปรับ, รวมไปถึงความคลางแคลงใจเรื่องส่วนแบ่งเงินสินบนรางวัล ที่บางส่วนจะไปอยู่ในกระเป๋าของเจ้าหน้าที่รัฐ จนถูกมองว่าเป็นแรงจูงใจให้เจ้าหน้าที่ใช้มาตรานี้มากๆ เพราะตัวเองจะได้ส่วนแบ่งด้วย
นพ.พงศ์ธรกล่าวว่า ร่างแก้ไขฯ ฉบับราชการ ได้ปรับปรุงมาตรา 32 ในหลายๆ ประเด็น
สำหรับเนื้อหามาตรา 32 เดิม ได้แบ่งย่อหน้าใหม่เป็น “ห้ามผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” (มาตรา 32) และ “ห้ามผู้ใดแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันเป็นการอวดหรืออ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยตรงหรือโดยอ้อม” (มาตรา 32/1) เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังเพิ่มเนื้อหาใหม่ ได้แก่ มาตรา 32/2 ที่ห้ามใช้ชื่อ/แบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปไว้บนผลิตภัณฑ์อื่นๆ โดยจะต้องมีวัตถุประสงค์ “เพื่อโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ด้วย เบื้องต้นมาตรานี้จะหมายถึงพวกป้ายไฟ ตู้แช่ ป้ายเมนู เสื้อโปโล หรือสินค้าอื่นๆ ที่มีชื่อ/แบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนจะรวมถึงโซดา น้ำเปล่า หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีชื่อ/แบรนด์คล้ายกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นการ ‘เลี่ยงบาลี’ หรือไม่นั้น ก่อนหน้านี้สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็เคยยื่นฟ้องคดีต่อศาลเช่นกัน แต่ศาลยกฟ้อง เพราะมองว่า ยังไม่ใช่การโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่หากมีมาตรานี้ น่าจะทำให้หลายๆ อย่างชัดเจนขึ้น
มาตรา 32/3 ห้ามผู้ใดอุปถัมภ์/สนับสนุน สร้างภาพลักษณ์ ส่งเสริมให้คนบริโภค หรือโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะเน้นป้องกันการ CSR หรือเป็นสปอนเซอร์กิจกรรมต่างๆ เช่น การแข่งขันกีฬา ของผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยมุ่งเอาผิด ‘ผู้ให้’ ขณะที่มาตรา 32/4 ห้ามเผยแพร่กิจกรรมหรือข่าวสารของผู้กระทำผิดตามมาตรา 32/3 โดยการถ่ายทอดสดกีฬาหรือกิจกรรมที่มีชื่อ/แบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็จะต้องเบลอเหมือนเดิม ไม่เช่นนั้นอาจมีความผิด
(ร่างแก้ไขฯ ฉบับประชาชน เสนอว่าแก้ไขมาตรา 32 ว่า การห้ามโฆษณาให้ทำได้กรณีเดียวคือ “อวดอ้างสรรพคุณเป็นเท็จ” เท่านั้น)
โทษสูงและเงินสินบนรางวัล
สำหรับอัตราโทษที่ถูกวิจารณ์ว่าสูงมาก นพ.พงศ์ธรกล่าวว่า ‘อัตราโทษ’ ไม่ได้เปลี่ยนไปจาก พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 โดยร่างแก้ไขฯ ฉบับราชการ กำหนดไว้ว่าหากทำความผิดฐานห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (มาตรา 32 และมาตรา 32/1) มีอัตราโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ก็เป็นอัตราโทษที่ใช้มาแต่เดิม และเงินค่าปรับ 500,000 บาท เป็น ‘เพดานสูงสุด’ การปรับยังใช้ขั้นบันไดแบบเดิม และมีเงื่อนไขการลดหย่อนต่างๆ
“ที่เพิ่มขึ้นมาคือโทษของผู้ผลิต/ผู้นำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากทำผิดกรณีห้ามโฆษณา จะมีอัตราโทษเป็น 2 เท่าจากคนทั่วๆ ไปเท่านั้น”
ที่มีการเปรียบเทียบว่า โทษปรับกรณีห้ามโฆษณาสูงสุด 500,000 บาท สูงกว่ากรณี ‘เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย’ (โทษปรับสูงสุด 200,000 บาท) เสียด้วยซ้ำ นพ.พงศ์ธรอธิบายว่า อยากให้ลองคิดว่า หากผู้กระทำผิดเป็นบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าบริษัทระดับหมื่นล้านบาท หากกำหนดโทษปรับไว้น้อยเกินไป ก็อาจจะทำให้เขายอมจ่ายค่าปรับแลกกับการกระทำผิด แต่ถ้าอยากให้ปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาส่วนนี้ อยากให้เสนอความเห็นเข้ามามากๆ แล้วทางเราจะส่งให้ผู้เกี่ยวข้องพิจารณาต่อไป
ส่วนกรณี ‘เงินสินบนรางวัล’ (เงินสินบน-ให้กับผู้แจ้งเบาะแส เงินรางวัล-ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ) ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐจะได้ส่วนแบ่งจากค่าปรับกรณีห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในอัตรา 45-60% จากค่าปรับ แล้วแต่กรณี (ร่างแก้ไขฯ ฉบับประชาชน เสนอให้ยกเลิกเงินสินบนรางวัลไปเลย แต่ร่างแก้ไขฯ ฉบับราชการไม่พูดถึง) นพ.พงศ์ธรกล่าวว่า ที่ร่างแก้ไขฯ ฉบับราชการ ไม่ได้กำหนดให้ยกเลิก เพราะเงินสินบนรางวัล ก็ไม่ได้อยู่ในกฎหมายเดิม แต่มีขึ้นมาตรามประกาศของกระทรวงการคลัง ในปี พ.ศ.2554 หากเราไปเขียนให้ยกเลิก ก็อาจจะต้องไปอธิบายกับกระทรวงการคลัง
อำนาจหน้าที่เจ้าพนักงาน
นพ.พงศ์ธรยังยกอีกข้อสงสัยในร่างแก้ไขฯ ฉบับราชการ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คนค้านร่างกฎหมายนี้ คือเรื่อง ‘อำนาจหน้าที่พนักงานเจ้าหน้าที่’ (มาตรา 34)
โดยเขาบอกว่า อำนาจหน้าที่ ทั้ง 5 อย่างในร่างแก้ไขฯ ฉบับราชการ 3 อย่างเป็นอำนาจที่มีอยู่เดิมใน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 เช่น การเข้าไปในสถานที่ ก็กำหนดไว้ว่าให้เข้าไปได้เฉพาะ ‘ในเวลาทำการ’ ของสถานที่นั้นๆ, การยึดหรืออายัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ให้ทำได้เฉพาะเพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดี ไม่สามารถยึดมาทั้งหมด เพราะไม่มีที่เก็บ, การเรียกบุคคลใดๆ มาให้ถ้อยคำหรือให้ส่งเอกสาร ก็เป็นอำนาจที่มีอยู่เดิม
ส่วน 2 อย่างที่เป็นเรื่องใหม่ คือ การขอดูบัตรประชาชนหรือเอกสารที่ปรากฎข้อมูลผู้ถือ ก็ทำเพื่อให้สามารถยืนยันตัวตนได้ ในกรณีที่สงสัยว่ามีการกระทำผิด ไม่ใช่จะเข้าไปขอดูบัตรประชาชนใครก็ได้, การตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานอื่นใด ก็กำหนดเงื่อนไขไว้ว่า ‘เพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดี’
ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่ นพ.พงศ์ธรอธิบายถึงร่างแก้ไขฯ ฉบับราชการ เช่น
– การแก้นิยาม ‘เครื่องดื่มแอลกอฮอล์’ โดยใช้คำว่า วัตถุที่ผสมแอลกอฮอล์ซึ่งสามารถ ‘ดื่ม-กิน’ ได้ เพื่อให้รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่จำเป็นต้องบริโภคด้วยการดื่มเสมอไป ทั้งนี้จะดูปริมาณแอลกอฮอล์เป็นหลัก หากสูงกว่า 0.5 ดีกรี ถึงจะเข้าข่ายตามกฎหมายนี้
– การแก้ไขนิยาม ‘การสื่อสารการตลาด’ ก็เพราะสมัยที่กฎหมายเดิมใช้ในปี พ.ศ.2551 ยังไม่มีอาชีพอย่าง รีวิวเวอร์ ยูทูปเบอร์
– การปรับปรุงโครงสร้างกรรมการต่างๆ ก็เป็นเพราะชื่อหน่วยงานรัฐบางแห่งเปลี่ยนไป จึงต้องปรับปรุงชื่อตัวแทนจากหน่วยงานนั้นๆ
– การเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมและสนับสนุนการบำบัด รักษา หรือฟื้นฟูผู้ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถช่วยเข้าไปแก้ไขปัญหาแต่เนิ่นๆ จากเดิมจะเข้าไปช่วยได้ก็ต่อเมื่อเกิดกรณีปัญหาติดสุราเรื้อรังแล้ว
เป็นต้น
The MATTER ถามความเห็น นพ.พงศ์ธร ในฐานะรอง ผอ.สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรคว่า มีความเห็นต่อร่างแก้ไขฯ ฉบับประชาชน ที่กำลังเปิดรับฟังความเห็นคู่ขนานกันในเว็บไซต์ของสภาอย่างไร เจ้าตัวตอบว่า คงจะไม่สามารถตอบแบบลงเนื้อหาได้ แต่จะส่งร่างแก้ไขฯ ฉบับราชการ ไปให้ผู้เกี่ยวข้องได้ใช้ประกอบการพิจารณาแทนคำตอบว่า เรามีความคิดเห็นกับการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 อย่างไรบ้าง
เราถามทิ้งท้ายว่า ในอดีต พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มักจะใช้กับผู้ประกอบการรายเล็กๆ (เช่น เคสร้านลาบลุงยาว) หรือกับผู้บริโภคทั่วๆ ไป ทั้งที่การโฆษณาต่างๆ หลายครั้งมาจากผู้ประกอบการรายใหญ่แทบทั้งสิ้น ร่างแก้ไขฯ ฉบับราชการ จะช่วยให้สามารถสาวถึงเจ้าใหญ่ แทนที่จะใช้เอาผิดเฉพาะจ้าเล็ก ได้หรือไม่
นพ.พงศ์ธรตอบว่า การจะเอาผิดใคร ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน หากหลักฐานสาวไปไม่ถึง ก็คงจะไปเอาผิดเขาไม่ได้
เขายังเชิญชวนให้ผู้สนใจทุกๆ คน หากฎหมายคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เดิม และร่างแก้ไขทั้ง 2 ฉบับมาศึกษาและร่วมแสดงความคิดเห็น เพราะเสียงของประชาชนทุกคนมีความสำคัญว่า อยากจะให้สังคมไทยในอนาคตต่อไปมีหน้าตาเป็นอย่างไร
– ร่างของกรมควบคุมโรค http://alcoholact.ddc.moph.go.th/act/ (ฟังความเห็นระหว่างวันที่ 25 มิ.ย. – 9 ก.ค.2564)
– ร่างที่ประชาชนเข้าชื่อเสนอ https://www.parliament.go.th/section77/survey_detail.php… (ฟังความเห็นระหว่างวันที่ 23 มิ.ย.2564 ถึงต้นเดือน ก.ค.2564)
#Brief #TheMATTER