หรือจริงๆ ควรตั้งคำถามว่า มันไม่มี ‘อะไร’-ที่ควรจะมี ในสัญญาจองซื้อ/จัดซื้อวัคซีนโควิดจาก AstraZeneca น่าจะดีกว่า
.
เพียงไม่กี่วันที่ ส.ส.ก้าวไกลเปิดเผยเอกสารสัญญาที่ได้จากการใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 จำนวน 3 ชุด ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อวัคซีนจาก AstraZeneca ให้สาธารณชนได้รับทราบในคืนวันที่ 11 ก.ค.2564 ข้อเท็จจริงต่างๆ ก็เริ่มคลี่คลายออกมา
.
เป็นความจริงที่เคยถูกผู้เกี่ยวข้องซุกไว้ใต้พรมมานาน หรือพยายามสื่อสารให้สังคมไทยไขว้เขว (ก่อนจะมาแก้ตัวภายหลังว่า “เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนนิดหน่อย”)
.
ว่าแผนการส่งมอบวัคซีนโควิด 61 ล้านโดสจาก AstraZeneca ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เคยทำ infographic เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนช่วงต้นปีนี้ว่า จะส่งเริ่มมอบในเดือน มิ.ย.2564 ก่อน 6 ล้านโดส เดือน ก.ค.-พ.ย.2564 เดือนละ 10 ล้านโดส และเดือน ธ.ค.2565 อีก 5 ล้านโดส รวมทั้งหมด 61 ล้านโดส ภายในปีนี้นั้น ‘ไม่มีอยู่จริงในสัญญา’
.
แย้งกับที่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข เคยตอบระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อวันที่ 17 ก.พ.2564 ว่า “ไตรมาสสาม วัคซีน AstraZeneca ที่ผลิตในประเทศไทย จะเต็มโรงพยาบาลของไทยและเต็มแขนคนไทย” และแย้งกับที่สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข เคยตอบกระทู้ถามสดในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2564 ว่า “ภายในสิ้นปี 2564 วัคซีนทั้ง 61 ล้านโดส จะถูกส่งมอบ”
.
มีอะไร หรือไม่มีอะไร ในสัญญาของ AstraZeneca กันแน่ ?
.
1.) เอกสารที่วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ไปขอมาจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ตั้งแต่เดือน มี.ค.2564 และได้รับสามเดือนถัดมา มี 3 ฉบับ
#ฉบับแรก เป็นคำอธิบายเอกสารจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ลงนามโดย นพ.นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนฯ มีจำนวน 2 แผ่น
#ฉบับสอง เป็น Letter of Intent หรือหนังสือแสดงเจตจำนง 4 ฝ่าย ระหว่าง สธ.ไทย, บริษัทตัวกลางอย่างเครือปูนซีเมนต์ไทย บริษัทที่จะรับจ้างผลิตอย่าง บ.สยามไบโอไซเอนซ์ และ AstraZeneca ในการเข้าถึงการผลิตวัคซีนโควิดซึ่งขณะนั้นอยู่ระหว่างพัฒนาโดย ม.อ็อกซ์ฟอร์ดของอังกฤษ มีจำนวน 2 แผ่น
#ฉบับสาม เป็นฉบับสำคัญที่สุด คือสัญญาจองซื้อและจัดซื้อวัคซีนโควิดจาก AstraZeneca มีจำนวน 42 แผ่น ที่ถูกป้ายหมึกสีดำ หรือถมดำ เพื่อ ‘เซ็นเซอร์’ ข้อมูลสำคัญไปเป็นจำนวนมาก
ดูเอกสารดังกล่าวทั้ง 3 ฉบับ
.
2.) วิโรจน์บอกกับ The MATTER ว่า ตนเข้าใจดีกว่าข้อมูลบางอย่างต้อง ‘เซ็นเซอร์’ เช่นความลับทางการค้าหรือทรัพย์สินทางปัญญา แต่สิ่งที่อยากรู้คือ แผนการส่งมอบ, เงื่อนไขบังคับหากส่งมอบล่าช้า, ความรับผิดชอบหากเกิดปัญหากับสินค้า ไปจนถึงราคาและงบประมาณ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ไม่เห็นจากสัญญาที่ได้รับนี้มาเลย
นอกจากนี้ ยังสงสัยว่าเอกสารที่จะมีเฉพาะการจองซื้อวัคซีน AstraZeneca ล็อตแรก 26 ล้านโดสเท่านั้น ส่วนการจัดซื้อล็อตสองอีก 35 ล้านโดส น่าจะอยู่กับกรมควบคุมโรค จึงส่งหนังสือไปทวงถามแล้ว
.
3.) สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านการเงิน ผู้ที่ติดตามเรื่องการจัดหาวัคซีนโควิดของรัฐบาลไทย ไปศึกษาสัญญาจัดซื้อวัคซีนจาก AstraZeneca ของหลายๆ ประเทศที่ถูกเปิดเผยเช่นกัน เช่น สหภาพยุโรป (อียู) และอังกฤษ ที่แม้จะถูกเซ็นเซอร์ข้อมูลบางส่วนเช่นกัน แต่ข้อมูลที่ปรากฎก็ยังเห็น ‘แผนการส่งมอบ’ เช่น ของอียูให้ส่งมอบเป็นรายได้มาส ของอังกฤษให้ส่งมอบเป็น 5 งวด
นอกจากนี้ ยังกำหนดบทลงโทษกรณีส่งมอบไม่เป็นไปตามกำหนดการไว้ด้วย เช่น ของอียูมีสิทธิระงับการจ่ายเงิน ของอังกฤษมีเรื่องบทลงโทษ
“แต่ของไทย มันไม่มีส่วนไหนเลย ไม่มีทั้งกำหนดส่งมอบ และไม่มีเรื่องค่าปรับ” สฤณีกล่าว
.
4.) ความจริง เริ่มมีสัญญาณจากคนใน สธ.มาสักพักแล้วว่า ในสัญญาจองซื้อ/จัดซื้อวัคซีนโควิดจาก AstraZeneca อาจไม่มีกำหนดส่งมอบวัคซีนอยู่
ที่บอกว่า จะส่งเดือนนี้กี่ล้านๆ เป็นเพียง ‘ทามไลน์ทิพย์’
โดยเฉพาะจากปากของ นพ.นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนฯ ที่พูดบนเวทีเสวนา ‘วัคซีนโควิด-19 ไทยจะเดินต่อไปอย่างไร’ เมื่อวันที่ 2 ก.ค.2564 ว่า ในสัญญาไม่มีการระบุว่าจะส่งให้เดือนละ 10 ล้านโดส มีแต่กรอบเวลา 61 ล้านโดส ใน 1 ปี เราก็พยายามขอว่า ถ้ามีความเป็นไปได้ เราอยากได้เดือนละ 10 ล้านโดส แต่เขาบอกว่าจะส่งให้ได้เดือนละ 5-6 ล้านโดส
.
5.) และข้อเท็จจริงนี้ก็ถูกยอมรับอย่างเป็นทางการโดยสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ที่พูดในรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand เมื่อวันที่ 15 ก.ค.2564 ว่าในสัญญาไม่มีระบุว่าจะส่งเดือนละกี่ล้านโดส เป็นเรื่องที่ต้องไปเจรจาตกลงกัน โดย AstraZeneca จะส่งให้ไทย 40% ของกำลังการผลิตในเดือนนั้นๆ ซึ่งตอนนี้อยู่ที่เดือนละ 15 ล้านโดส
“มันมีข้อคลาดเคลื่อนนิดหน่อย วัคซีนจาก AstraZeneca ที่เราสั่งซื้อทั้งหมด 61 ล้านโดส จะส่งมอบครบในเดือน พ.ค.2565 ไม่ใช่ในเดือน ธ.ค.2564” คือคำพูดยอมรับความจริงจากสาธิต ที่ทำให้หลายๆ คนตกตะลึง
.
ค่ำวันเดียวกัน สาธิตยังโพสต์ลงเพจเฟซบุ๊ก อ้างว่า “สถานการณ์เปลี่ยน” ทาง AstraZeneca แจ้งว่าจะส่งวัคซีนให้ตามทามไลน์ที่รัฐบาลไทยขอไปไม่ได้ เป็นเหตุให้สัมภาษณ์ในรายการไปเช่นนั้น
.
6.) คำพูดทั้งจาก ผอ.สถาบันวัคซีนฯ และ รมช.สาธารณสุข ที่เพิ่งมาบอกเราไม่กี่วันนี้ ทำให้รู้ว่า รัฐบาลเองก็รู้ตั้งแต่ต้นว่าในสัญญาจองซื้อ/จัดซื้อวัคซีนโควิดจาก AstraZeneca “ไม่มีทามไลน์การส่งมอบ” แต่กลับไม่ยอมบอกความจริงนี้กับประชาชน
และข้อมูลจากกรมควบคุมโรคเอง ก็ระบุชัดว่า ในเดือน มิ.ย.2564 ทาง AstraZeneca ส่งวัคซีนให้ไทยได้เพียง 5.13 ล้านโดสเท่านั้น หากรวมกับที่ส่งมาก่อนหน้าด้วยจะอยู่ที่ 5.49 ล้านโดส ไม่ถึงตัวเลข 6 ล้านโดสที่วางเอาไว้อยู่ดี
.
7.) ปัญหาของการที่ ‘วัคซีนหลัก’ จาก AstraZeneca ส่งมอบวัคซีนล่าช้า ทำให้รัฐบาลต้องไปนำเข้าวัคซีนตัวอื่นๆ เช่นของ Sinovac มาเพิ่มเติมอีก ทั้งๆ ที่ในทางวิชาทางการและงานวิจัยหลายๆ ประเทศก็ยืนยันตรงกันเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดไม่สูงมากนัก และยิ่งโควิดกลายพันธุ์ประสิทธิภาพก็ยิ่งน้อยลงไปอีก
ไม่รวมถึงการคิดสูตร mix and match ให้เข็มแรก Sinovac เข็มสอง AstraZeneca ที่ถูกสื่อต่างชาติตีข่าวว่า เป็นประเทศแรกของโลกที่ใช้สูตร ‘สลับวัคซีน’ เช่นนี้
.
8.) สฤณีตั้งคำถามในรายการ #มาเถอะจะคุย ของ The MATTER x จอมขวัญ เมื่อวันที่ 14 ก.ค.2564 ว่า ในเมื่อรัฐบาลรู้แต่ต้นว่า ในสัญญาจองซื้อ/จัดซื้อวัคซีน AstraZeneca ไม่ได้กำหนดทามไลน์การส่งมอบที่ชัดเจนเอาไว้ แถมในสัญญาที่เปิดเผยมา แม้จะถมดำข้อความสำคัญจำนวนมาก แต่ด้วยโครงสร้างของสัญญาที่ ‘หลวม’ คือไม่มีบทลงโทษใดๆ แล้วทำไมรัฐบาลถึงไม่บริหารความเสี่ยงด้วยการจัดหาวัคซีนอื่นที่ประสิทธิภาพมาเพิ่มเติมอีก
.
9.) หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมรัฐบาลไทยถึงเลือกวัคซีนโควิดจาก AstraZeneca เป็น ‘วัคซีนหลัก’ มาแต่ต้น?
หากย้อนดูทามไลน์การพัฒนาวัคซีนโควิดเมื่อปีก่อน ก็อาจจะเข้าใจได้
กลางปี 2563 นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาธร อดีต รมว.สาธารณสุข กล่าวในที่ประชุม ศบค. ครั้งที่ 10/2563 เมื่อวันที่ 22 ก.ค.2563 อ้างถึงองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ว่าวัคซีนโควิดที่ผลิตโดย ม.อ็อกซ์ฟอร์ดร่วมกับ AstraZeneca “ก้าวหน้ามากที่สุดในโลก” (ณ ขณะนั้น) โดยเขาเสนอว่า เอกชนไทยน่าจะใช้ความสัมพันธ์กับ ม.อ็อกซ์ฟอร์ด ดึงเข้ามาผลิตในไทย แต่โรงงานไทยยังต้องลงทุนเพิ่ม น่าจะผลิตได้ปีละ 200 ล้านโดส จะมีวัคซีนใช้ต้นปี 2564
เวลาต่อมา เราถึงรู้ว่า เอกชนที่มีสัมพันธ์อันดับกับ ม.อ็อกซ์ฟอร์ดคือ ‘เครือปูนซีเมนต์ไทย’ และโรงงานไทยที่ต้องลงทุนเพิ่มเพื่อมาผลิตวัคซีนให้ประเทศไทย คือ ‘บ.สยามไบโอไซเอนซ์’ ซึ่งทั้ง 3 ฝ่ายร่วมกับ สธ.ของไทย มาร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง หรือ Letter of Intent ว่าจะร่วมถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนโควิด ในวันที่ 12 ต.ค.2563
ก่อนที่จะมีมติ ครม. อนุมัติงบกลาง 6,049.72 ล้านบาท จองซื้อวัคซีนโควิดจาก AstraZeneca (ผลิตโดย บ.สยามไบโอไซเอนซ์) จำนวน 26 ล้านโดส ก่อนทำพิธีเซ็นสัญญาที่ทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 27 พ.ย.2563 และมีมติ ครม. อนุมัติงบกลาง 6,387.29 ล้านบาท จัดซื้อวัคซีนเพิ่มเติมอีก 35 ล้านโดส ในวันที่ 2 มี.ค.2564
.
วัคซีนโควิดของ AstraZeneca เป็นชนิดไวรัลเว็กเตอร์ ที่แม้ประสิทธิภาพโดยทั่วไป จะไม่ดีเท่าชนิด mRNA เช่น Pfizer Moderna แต่ก็ชนิดเชื้อตายอย่าง Sinovac หรือ Sinopharm
ปัจจุบันมีอย่างน้อย 92 ประเทศที่ใช้วัคซีนโควิดของ AstraZeneca
.
10.) ด้านข้อมูลทั่วไป ก็มีเหตุผลพอเข้าใจได้ว่า ทำไมรัฐบาลไทยจึงเลือกวัคซีนนี้เป็นวัคซีนหลัก
แต่ปัญหาจากการบริหารจัดการ โดยเฉพาะการไม่เขียนสัญญาไว้ให้ ‘แน่น’ มีกำหนดการส่งมอบ หรือมีบทลงโทษการส่งมอบล่าช้า รวมไปถึงการไม่บริหารความเสี่ยงหาวัคซีนอื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เข้ามาให้ได้มากและเร็วที่สุด (Sinovac หลายคนบอกว่า ถ้าเอามาแก้ขัดพอได้ แต่ไม่ควรเอามาเป็นวัคซีนหลัก)
ปัญหาของการไม่พูดความจริง ทั้งคนในรัฐบาล ศบค. สธ. กรมควบคุมโรค หรือหน่วยงานใดที่เกี่ยวข้อง ชัดเจนว่าทำให้ชีวิตคนไทยนับแสน นับล้าน หรือนับสินล้านคน ตกอยู่ในความเสี่ยง
เลิกพูดไปได้เลยว่า คนไทยไม่อยากฉีดวัคซีน เพราะจริงๆ เขาอยากฉีด แต่ถูกเลื่อนคิวฉีด เพราะภาครัฐเองหาวัคซีนมาให้ไม่พอ
ถึงวันนี้ (16 ก.ค.2564) ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดสะสมของคนไทย คือ 381,907 ราย เสียชีวิตสะสมคือ 3,099 ราย
ในช่วงวิกฤตโรคระบาด ที่บางคนเปรียบว่าไม่ต่างกับ ‘สงคราม’ ไม่มีอะไรจะอันตรายกับชีวิตประชาชน มากไปว่ารัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่พูดความจริง และไม่แสดงความรับผิดชอบอีกแล้ว