สถานการณ์ COVID-19 ในเมียนมากำลังเดินทางไปสู่จุดวิกฤต ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาอัตราการเสียชีวิตรายวันของเมียนมาแซงหน้าอินโดนีเซีย และมาเลเซียจนกลายเป็นประเทศที่มีการตายสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่การช่วยเหลือใดๆ จากรัฐบาลทหารกลับไม่มีเท่าที่ควร จนนักเคลื่อนไหวออกมาแสดงความเห็นว่า กองทัพกำลังจงใจใช้ COVID-19 เป็นอาวุธ
จำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นของเมียนมาส่วนทางกับทรัพยากรทางการแพทย์ที่กำลังขาดแคลนอย่างหนัก ประกอบกับสถานการณ์การเมืองที่ไร้เสถียรภาพยิ่งทำให้เมียนมาเหมือนเจอวิกฤตซ้อนวิกฤต
สำนักข่าว AP รายงานว่า ตอนนี้ ถังออกซิเจนกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ป่วย COVID-19 ในเมียนมา แต่รัฐบาลกลับจำกัดการขายในหลายพื้นที่ ไปจนถึงยึดถังออกซิเจนของประชาชนไป โดยอ้างว่าเป็นนโยบายป้องกันการกักตุน แต่หลายฝ่ายมองว่า รัฐมาเบียดบังทรัพยากรเหล่านี้เพื่อนำไปมอบให้ผู้สนับสนุนกองทัพ และนำไปใช้ในโรงพยาบาลของกองทัพ
ยางฮี ลี อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของเมียนมาประจำสหประชาชาติ และสมาชิกผู้ก่อตั้งสภาที่ปรึกษาพิเศษแห่งเมียนมาเปิดเผยถึงสถานการณ์ตอนนี้ว่า “รัฐหยุดแจกจ่ายอุปกรณ์ป้องกันตัวรวมถึงหน้ากากอนามัย และไม่ยอมให้ประชาชนที่ต้องสงสัยว่าเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาล นอกจากนี้กลุ่มแพทย์ที่อยู่ในขบวนการต่อต้านรัฐประหารก็ถูกจับกุมด้วย”
“กับเรื่องออกซิเจน พวกเขาไม่อนุญาตให้ขายออกซิเจนให้กับพลเรือนด้วยกันเอง หรือไม่ขายให้กับคนที่ไม่ได้รับการสนับสนุนโดยสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) พวกเขาใช้สิ่งที่ช่วยชีวิตคน มาทำร้ายคนด้วยกันเอง” ยางฮีกล่าวพร้อมเสริมว่า “กองทัพกำลังทำให้ COVID-19 เป็นอาวุธ”
เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา เมียนมามียอดผู้เสียชีวิตใหม่ 342 ราย และมียอดผู้ติดเชื้อใหม่ 5,234 ราย อย่างไรก็ตาม แพทย์คนหนึ่งที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนจากโรงพยาบาลมะละแหม่งบอกว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตแท้จริงนั้นต่างจากตัวเลขที่เปิดเผยออกมามาก มีคนมากมายเสียชีวิตจาก COVID-19 จนนับไม่ถ้วน
โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า “การที่รัฐบาลทหารปล่อยให้ COVID-19 อยู่เหนือการควบคุม ทำให้ชาวเมียนมา รวมถึงประชาคมเอเชีย และประชาคมโลกตกอยู่ในความเสี่ยงจากการถูกคุกคามด้วย COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้น” โรเบิร์ตสันกล่าวอีกว่า “ปัญหาคือรัฐบาลทหารสนใจเรื่องการยึดอำนาจมากกว่าการหยุดโรคระบาด”
สถานการณ์ COVID-19 ของเมียนมาอยู่ในการจับของทั่วโลก เมื่อวานนี้ (29 กรกฎาคม) บาร์บารา วูดเวิร์ด เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรอังกฤษประจำองค์การสหประชาชาติ ออกมาเตือนว่า ภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า อาจจะมีชาวเมียนมากว่าครึ่งประเทศติดเชื้อ COVID-19 เนื่องจากไวรัสนั้นแพร่กระจายไปเร็วมาก และผลจากการรัฐประหารกำลังทำลายสาธารณสุขของประเทศให้พังทลายอย่างสิ้นเชิง
อ้างอิงจาก
https://www.channelnewsasia.com/…/un-warned-of-dire…
https://www.independent.co.uk/…/activists-allege…
https://apnews.com/…/health-coronavirus-pandemic…