แม้จะมีการแจ้งเงื่อนไขบุคลากรแพทย์ที่เข้าเกณฑ์รับวัคซีน Pfizer ไปเรียบร้อยแล้ว แต่หลายคนมองว่าเงื่อนไขนี้ไม่ครอบคลุมมากพอ และยังมีแพทย์อีกหลายกลุ่ม เช่น บุคลากรแพทย์ด่านหน้าที่เคยติดเชื้อ และบุคลากรแพทย์หญิงที่ไม่ได้ฉีด Sinovac เพราะตั้งครรภ์ ควรได้รับวัคซีน Pfizer ในล็อตนี้ด้วย
นพ.ศุภโชค เกิดลาภ อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมเล่าว่า ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งไม่ควรถูกลืมสำหรับพิจารณาฉีดวัคซีน Pfizer นั่นก็คือ บุคลากรแพทย์หญิงที่ไม่ได้รับวัคซีน Sinovac เพราะอยู่ระหว่างตั้งครรภ์ และกลุ่มบุคลากรด่านหน้าที่เคยติดเชื้อแล้ว
สำหรับกลุ่มแรก นพ.ศุภโชคบอกว่า แม้ที่ผ่านมาจะมีนโยบายฉีดวัคซีนให้หญิงตั้งครรภ์ แต่ต้องยอมรับว่าการศึกษาวัคซีน Sinovac กับหญิงตั้งครรภ์นั้นมีน้อยมาก (ซึ่งอาจทำให้หลายคนไม่กล้าเสี่ยง) แต่ในขณะเดียวกันกลุ่มเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่กำลังตั้งครรภ์ก็จำเป็นต้องได้รับวัคซีนที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ
ซึ่งขณะนี้ มีเพียงวัคซีนชนิด mRNA อย่าง Pfizer และ Moderna เท่านั้นที่มีข้อมูลและหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าปลอดภัย และสามารถฉีดให้กับหญิงตั้งครรภ์ได้
โดย นพ.ศุภโชคอ้างอิงงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ ที่รวบรวมข้อมูลหญิงตั้งครรภ์จำนวน 827 คนที่ฉีดวัคซีน mRNA ในสหรัฐฯ มาศึกษาผลหลังฉีดวัคซีน พบว่า
อัตราการให้กำเนิดโดยที่เด็กรอดชีวิตอยู่ที่ 86.1% และแท้งเอง 12.6% โดยที่ 96.2% ของคนที่แท้งเอง เกิดขึ้นในช่วงอายุครรภ์ 3 เดือนแรก และมี 0.1% ที่สูญเสียเด็กหลังตั้งครรภ์ 20 ส่วนอัตราการสูญเสียลูกด้วยสาเหตุอื่นๆ เช่น การทำแท้ง การตั้งครรภ์นอกมดลูก อยู่ที่ 1.2%
ในส่วนของทารกที่เกิดมานั้น มีอัตราการคลอดก่อนกำหนด 9.4%, เด็กน้ำหนักตัวน้อย 3.2% และความผิดปกติของทารกโดยกำเนิด 2.2% ซึ่งตัวเลขต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้ผิดปกติ หรือมีอัตราสูงไปกว่าการตั้งครรภ์ของประชากรปกติ หรือพูดง่ายๆ ว่า วัคซีน mRNA ไม่ได้ทำให้เกิดความผิดปกติ หรืออันตรายใดๆ ต่อแม่และเด็กในครรภ์
สำหรับกลุ่มที่ 2 ที่ นพ.ศุภโชคมองว่าไม่ควรตกขบวน Pfizer ล็อตนี้คือ บุคลากรแพทย์ที่เคยติดเชื้อแล้ว แม้ว่าคนที่เคยติดเชื้อ COVID-19 จะมีภูมิต้านทานตามธรรมชาติ แต่เมื่อนานวันเข้า ภูมิเหล่านั้นก็จะลดลงและไม่เพียงพอต่อการป้องกันเชื้อสายพันธุ์ใหม่ๆ และอาจเกิดการติดเชื้อซ้ำได้
นพ.ศุภโชคได้ยกเอาการศึกษาหนึ่งขึ้นมาเปรียบเทียบให้ดู ซึ่งจะเห็นว่า คนที่เคยเป็น COVID-19 แล้วมาฉีดวัคซีน Pfizer 2 เข็ม (ระยะห่างกัน 21 วัน) พบว่า หลังฉีดเข็มแรก ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้นมาก สูงกว่าคนที่ไม่เคยติดเชื้อ แต่เมื่อฉีดเข็มที่ 2 ภูมิก็ไม่เพิ่มขึ้นจากเข็มแรกเท่าไหร่นัก
ส่วนคนที่ไม่เคยติดเชื้อ COVID-19 มาก่อน ฉีดวัคซีน Pfizer เพียง 1 เข็มภูมิคุ้มต้านทานขึ้นไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่จะเริ่มดีขึ้นหลังฉีดเข็มที่ 2
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นที่ตีพิมพ์ในวารสารเจเอเอ็มเอ ได้นำบุคลากรแพทย์ที่เคยได้รับวัคซีน Pfizer และ Moderna 1 เข็มมาวัดภูมิต้านทาน พบว่า ถ้าไม่เคยติด COVID-19 มาก่อน แล้วฉีดวัคซีน 1 เข็ม ระดับภูมิคุ้มกันจะเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง
แต่ถ้าเคยติด COVID-19 มาแล้ว (แบบไม่มีอาการ) การฉีดวัคซีนเพียง 1 เข็มสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้สูงถึงระดับหมื่นเลยทีเดียว (วัดหลังฉีด 2 สัปดาห์)
จากผลการศึกษาเหล่านี้ สามารถสรุปได้ว่าการฉีดวัคซีน Pfizer ให้บุคลากรที่เคยติดเชื้อ COVID-19 น่าจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี โดย นพ.ศุภโชคบอกว่า อยากให้ผู้เกี่ยวข้องทุกท่านช่วยพิจารณาเปิดโอกาสให้ฉีดกระตุ้น Pfizer 1 เข็ม ในบุคลากรที่เคยติดเชื้อแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อซ้ำกับกลุ่มบุคลากรแพทย์อีก
อ้างอิงจาก
https://web.facebook.com/nungtoxic/posts/4295669383805027
https://web.facebook.com/nungtoxic/posts/4294525250586107