กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างมาก กรณี ครม. รับหลักการร่างกฎหมายให้ชาวต่างชาติสามารถถือครองกรรมสิทธิ์บ้านในไทย ซึ่งรวมถึงรายละเอียดของถือครองกรรมสิทธิในอสังหาฯ ประเภทห้องชุด และระยะเวลาสัญญาเช่าที่ได้รับสิทธิเพิ่มทั้งในแง่สัดส่วนและระยะเวลาที่เพิ่มจากเดิม เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ
ซึ่งแม้จะยังไม่ได้ออกนโยบายนี้อย่างเป็นทางการ แต่ก็นำมาสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์และถกเถียงกันถึงผลกระทบต่อคนไทยที่อาจต้องเช่าเขาอยู่ หรือกระทั่งประเด็นครหาว่าความเห็นชอบในนโบายดังกล่าวของ ครม. ว่าเป็นรัฐบาลขายชาติ
The MATTER ได้สรุปประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นสู่ประเด็นร้อนที่เป็นที่พูดถึงกันในตอนนี้
1. เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ที่ผ่านมา การประชุม ครม. ได้มีมติเห็นชอบ ‘มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนเพื่อการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย’ การผลักดันนโยบายดังกล่าวถือเป็นการเตรียมพร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโควิด โดยตั้งเป้าหมายว่ามาตรการฯ นี้จะช่วยดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพเข้าประเทศกว่า 1 ล้านล้านราย รวมทั้งดึงเม็ดเงินจากการลงทุนเข้าประเทศจำนวน 8 แสนล้านบาท และจากรายได้ทางภาษี 2.7 แสนล้านบาท ช่วยเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจมูลค่า 1 ล้านล้านบาท
2. ทั้งนี้ จากการประชุมมีไทม์ไลน์การแจกงานหน่วยงานรัฐแบ่งออกเป็น 2 หัวข้อหลัก ได้แก่
- การกำหนดประเภท/หลักเกณฑ์วีซ่าผู้พำนักระยะยาว (กินระยะเวลา ส.ค. 2564 – พ.ย. 2565)
- การจัดตั้งศูนย์บริการผู้พำนักระยะยาว แบ่งเป็น ช่วงจัดตั้งงบฯ/ทำข้อตกลงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง/คัดเลือกหน่วยงานเอกชน (กินระยะเวลาตั้งแต่ ส.ค. 2564 – ธ.ค. 2564) และช่วงจัดตั้งศูนย์บริการฯ/พัฒนาระบบให้บริการเชื่อมต่อข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นช่วงทดลอง (กินระยะเวลาตั้งแต่ ม.ค. 2565 – มี.ค. 2565)
3. สาระสำคัญของมาตรการฯ ดังกล่าวส่งผลให้ชาวต่างชาติได้รับกรรมสิทธิ์ในการถือครองอสังหาฯ ในไทยต่างไปจากเดิม ซึ่งว่าด้วยเรื่องการออกวีซ่าให้ชาวต่างชาติมาพักอาศัยระยะยาว (Long-Term Resident Visa; LTR Visa) และการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบเกี่ยวกับการครอบครองอสังหาฯ ของชาวต่างชาติในไทย ดังนี้
การออกวีซ่าผู้พำนักระยะยาว (Long-Term Resident Visa) คือ กำหนดให้ออกวีซ่าประเภทนี้เพื่อดึงดูดกลุ่มชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง แบ่งเป็น 4 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่
- กลุ่มประชากรโลกที่มีความมั่งคั่งสูง (Wealthy Global Citizen)
- กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (Wealthy Pensioner)
- กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย (Work-from-Thailand Professional)
- กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ (High-Skilled Professional)
4. ส่วนการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการครอบครองอสังหาฯ ของชาวต่างชาติในไทยนั้น ว่าด้วยการแก้ไขและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสิทธิการถือครองที่ดิน การบริหารจัดการการทำงานและอนุญาตให้ทำงานให้นายจ้างทั้งที่อยู่ในและนอกราชอาณาจักร การยกเว้นเกณฑ์จ้างพนักงงาน การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคล และอื่นๆ
5. มาตรการฯ มีรายละเอียดที่ทำให้ชาวต่างชาติกลุ่มเป้าหมายที่จะมาซื้ออสังหาฯ ในไทย ได้รับสิทธิประโยชน์ อาทิ
- ผู้ถือวีซ่า LTR ไม่ต้องรายงานตัวกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในกรณีที่พำนักในไทยเกิน 90 วัน โดยวีซ่าจะมีอายุ 10 ปี ครอบคลุมทั้งคู่สมรสและบุตร
- ผู้ได้รับอนุมัติวีซ่าฯ จะได้รับใบอนุญาตทำงานทันที
- ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับรายได้ต่างประเทศ
- ได้รับสิทธิจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากรายได้ในประเทศไทยเหมือนผู้ถือสัญชาติไทย
- ถือครองกรรมสิทธิห้องชุดเพิ่มขึ้นเป็น 70-80% จากเดิม 49%
- ถือครองกรรมสิทธิ์เจ้าของที่ดินและบ้านจัดสรรในราคา 10-15 ล้านบาทขึ้นไป
- เสียภาษีอากรไวน์ สุรา และยาสูบประเภทซิการ์ครึ่งหนึ่งจากเดิม เป็นต้น
6. แน่นอนว่าการผลักดันมาตรการฯ นี้ ส่งผลให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างมาก เพราะการที่มีคำสั่งให้ศึกษาแนวทางแก้ไขกฎหมายถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินในไทยของชาวต่างชาตินั้นดูเป็นนโยบายที่เอาใจต่างชาติ อีกทั้งยังนำมาสู่ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำของคนในประเทศที่อาจต้องไปเช่าพื้นที่เขาอยู่ต่อไปในอนาคต จนนำมาสู่ข้อครหา ‘รัฐบาลขายชาติ’ ในขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการในแวดวงอสังหาฯ ต่างเห็นว่านี่เป็นโอกาสที่ธุรกิจอสังหาฯ ไทยจะกลับมาคึกคัก หลังประสบภาวะซบเซาจากกำลังซื้อคนไทยที่ถดถอยลง
7. สำหรับฝั่งผู้ประกอบการนั้น เห็นว่า หากกฎหมายว่าด้วยการถือครองกรรมสิทธิ์อสังหาฯ ประเภทห้องชุดเกิน 49% ผ่านนั้น ก็จะเป็นจุดเรียกชาวต่างชาติให้เข้ามาซื้อคอนโดฯ อพาร์ทเมนต์ในไทยมากขึ้น นอกจากนี้ เมื่อมีกำลังซื้ออสังหาฯ ประเภทต่างๆ จากคนต่างชาติมากขึ้น ก็ส่งผลให้ธุรกิจประเภทอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัยในมิติต่างๆ มีโอกาสทำเงินและเติบโตตามไปด้วย เช่น ธุรกิจเครื่องเรือน ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจออกแบบตกแต่งภายใน เป็นต้น
8. ถึงอย่างนั้น เสียงวิพากษ์จากคนส่วนใหญ่กลับเห็นถึงประเด็นที่ส่งผลต่ออนาคตและชีวิตความเป็นอยู่ของพลเมืองไทย ซึ่งกลายเป็นที่ถกเถียงในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเหล่านักลงทุน เจ้าของธุรกิจอสังฯ หรือคนรวยชั้นบนที่จะได้รับประโยชน์จากการขายที่ดิน บ้าน และอสังหาฯ ประเภทอื่นๆ ให้ชาวต่างชาติ อันนำมาสู่ราคาอสังหาฯ ที่สูงขึ้นจนทำให้คนไทยเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินในประเทศยากกว่าเดิม
9. ที่สำคัญ สภาพการณ์ของการถือครองกรรมสิทธิ์และเป็นเจ้าของสินทรัพย์และที่ดินของคนไทยในไทยนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะกฎหมายที่เอื้อให้ชาวต่างชาติซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้อย่างอิสระนั้นนำมาสู่ประเด็นที่ว่าที่ดินในไทยจะถูกนายทุนต่างชาติฮุบไปหรือไม่ ในขณะเดียวกัน คนไทยอาจต้องเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในไทยเพื่ออยู่อาศัย ข้อถกเถียงในโลกอินเตอร์เน็ตนี้นำมาสู่การครหาว่าข้อกฎหมายและรัฐบาลนี้ขายชาติขายแผ่นดิน
10. ล่าสุด ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกฯ ได้กล่าวถึงกรณีนี้ โดยยืนยันว่ามาตรการทุกอย่างของรัฐบาลนั้นมุ่งส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจไทยหลังสถานกาณณ์โควิดคลี่คลาย และต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน ไม่อยากให้ประเทศสูญเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศอีกต่อไป จึงอยากขอให้ทุกฝ่ายเปิดใจและศึกษามาตรการฯ อย่างลึกซึ้ง เพื่อพิจารณาประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศในอนาคต
11. ในขณะเดียวกัน ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ก็พูดถึงกรณีนี้ว่า มาตรการฯ ดังกล่าวแท้จริงแล้วต้องการเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มบริษัทอสังหาฯ ต่างชาติที่มีบ้านค้างสต็อกจากการบริหารเศรษฐกิจล้มเหลวหรือไม่ คนไทยจะได้ประโยชน์อย่างไร เพราะนี่ถือเป็นการตอกย้ำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้นไปอีก คนที่จะเป็นเจ้าของบ้านได้นั้นก็คือคนรวย ซ้ำปัจจุบันคนไทยที่ไม่มีบ้านก็มีมากถึง 5.87 ล้านครัวเรือน สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือคิดหามาตรการมาช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ หรือหาทางออกอื่นในการดึงดูดชาวต่างชาติมาลงทุนในไทย
12. และนี่ก็เป็นเสียงสะท้อนที่กลายเป็นข้อถกเถียงกัน ซึ่งแตกเสียงออกมาว่าเป็นเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศให้เดินหน้า ในขณะเดียวกัน ก็มีเรื่องความเหลื่อมล้ำอันนำมาสู่ข้อครหาขายแผ่นดิน แน่นอนว่าหลายฝ่ายต้องติดตามว่าการผลักดันมาตรการฯ และแก้ไขกฎหมายและข้อระเบียบที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินและอสังหาฯ ในไทยของชาวต่างชาติจะเป็นอย่างไรต่อไป
อ้างอิงข้อมูลจาก :
https://www.prachachat.net/property/news-763114
https://www.thairath.co.th/news/politic/2196631
https://web.facebook.com/workpointTODAY/posts/1715002245535713
https://www.thaipost.net/main/detail/117240
#recap #TheMATTER