หลังจากที่เมื่อวานนี้มีการเสนอข่าวไปว่า กระทรวงการต่างประเทศออกมา ‘เบรก’ จากรับบริจาควัคซีนโมเดอร์นาจากโปแลนด์ มาให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์มากมาย จนในเช้าวันนี้ กระทรวงต่างประเทศต้องออกมาชี้แจงว่า ไม่ได้คัดค้านการบริจาควัคซีนแต่อย่างใด เพียงต้องการชี้แนะแนวทางการรับวัคซีนบริจาคอย่างถูกต้องเท่านั้น
สำหรับคำชี้แจงของกระทรวงการต่างประเทศ มีรายละเอียดว่า
- กระทรวงต่างประเทศได้รับหนังสือจาก มธ. 2 ฉบับ แจ้งว่าองค์กร RZADOWA AGENCIA REZERW STRATEGICZNYCH (RARS) ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องวัคซีนของโปแลนด์ต้องการบริจาควัคซีนให้ มธ. 3,000,000 โดส และต้องการบริจาคเพิ่มอีก 1,500,000 โดส
มธ.จึงขอความร่วมมือกับกระทรวงต่างประเทศในการนำเข้าวัคซีน และมอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ ช่วยดูแลเรื่องการตรวจสอบวัคซีน รวมถึงส่งวัคซีนมาให้ประเทศไทย
- กระทรวงต่างประเทศบอกว่า ข้อเท็จจริงในข้อ 1 จะเห็นได้ว่า ผู้บริจาควัคซีนคือ RARS และผู้รับบริจาคคือ มธ. ทั้ง 2 หน่วยงานหารือเรื่องการบริจาควัคซีนโดยตรงมาตั้งแต่แรก กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้เข้าไปขัดขวางอะไรเลย
- อย่างไรก็ตาม กระทรวงต่างประเทศเองไม่เคยได้รับการยืนยันเรื่องบริจาควัคซีนในระดับรัฐบาล ผ่านกระทรวงต่างประเทศโปแลนด์ หรือสถานเอกอัครราชทูตโปแลนด์ประจำประเทศไทยมาก่อน โดยสถานะความคืบหน้าล่าสุดที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอร์ซอ ได้รับแจ้งจากกระทรวงการต่างประเทศโปแลนด์คือหน่วยงานต่างๆ ในโปแลนด์ยังหารือกันเรื่องบริจาคนี้อยู่
การบริจาคในระดับรัฐบาลจึงยังไม่มีการยืนยัน ในขณะที่ RARS ได้แจ้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้วว่าประสงค์จะบริจาควัคซีนให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กระทรวงต่างประเทศจึงเห็นว่า จะเหมาะสมมากกว่า หาก มธ.ในฐานะผู้รับบริจาคหารือโดยตรงกับ RARS พร้อมยืนยันว่า หนังสือที่ออกมาก่อนหน้านั้น ไม่มีข้อความใดเข้าข่ายคำว่า ‘คัดค้าน’ หรือไม่เห็นด้วยกับการรับบริจาควัคซีนโมเดอร์นา
- อีกทั้ง กระทรวงต่างประเทศก็ไม่มีอำนาจเชิงกฎหมายใด ที่จะ “เบรก” การดำเนินการของ มธ.ในการทำความตกลงกับหน่วยงานต่างประเทศ หรือการนำเข้าวัคซีนตามที่เป็นข่าว
- นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอไม่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบหรือนำเข้าวัคซีนตามที่ มธ.ร้องขอ จึงแนะนำให้ มธ.หารือกับกรมควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขโดยตรง เพราะน่าจะสามารถให้คำแนะนำได้ชัดเจนมากกว่า
- กระทรวงต่างประเทศยังบอกอีกว่า ที่ผ่านมาเคยดำเนินการนำเข้าวัคซีนบริจาคอย่างแอสตร้าเซนเนก้า และไฟเซอร์จากประเทศต่างๆ เกือบ 10 ประเทศ ซึ่งในสัญญาระหว่างประเทศผู้บริจาคและประเทศผู้รับบริจาคทุกฉบับมีประเด็นสำคัญคือ ‘การชดเชยความเสียหาย (indemnity)’ เช่น การเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน กระทรวงต่างประเทศจึงแนะนำถึงเรื่องนี้นอกจากกระบวนการนำเข้าวัคซีนด้วย เพราะเป็นประโยชน์ต่อผู้รับวัคซีนซึ่งก็คือประชาชน
- ที่ผ่านมา ในการทำสัญญาระหว่างประเทศผู้บริจาคและประเทศผู้รับการบริจาควัคซีนแอสตราเซเนกา และวัคซีนไฟเซอร์ ‘บริษัทผู้ผลิตวัคซีน’ ต้องรับทราบและเห็นชอบการบริจาค อีกทั้งสัญญาการบริจาคทุกฉบับยังมีรายละเอียดเงื่อนไขต่างๆ ที่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย เช่น ห้ามนำวัคซีนไปใช้เชิงพาณิชย์
ซึ่งการรับบริจาควัคซีนโมเดอร์นาของ มธ. เป็นการรับบริจาคครั้งแรก และกระทรวงต่างประเทศไม่ได้มีส่วนร่วมในการเจรจา กระทรวงต่างประเทศจึงแนะนำให้ มธ.พิจารณากระบวนการบริจาคอย่างถี่ถ้วน “เพื่อประโยชน์ของ มธ.เองไม่ให้ถูกร้องเรียนจากฝ่ายใดในภายหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากถูกมองว่ามีผลประโยชน์เชิงพาณิชย์เกี่ยวข้องกับวัคซีนที่ได้รับบริจาค”
- พร้อมกันนี้ กระทรวงต่างประเทศยืนยันว่าจะมุ่งมั่นจัดหาและสนับสนุนการนำเข้าวัคซีน COVID-19 ในรูปแบบต่างๆ ต่อไป
อ้างอิงจาก
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3009667
https://ch3plus.com/news/program/263337
https://thematter.co/brief/158672/158672
#Brief #TheMATTER