หลังจากช่วงบ่ายของวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินให้การปราศัยเมื่อวันที่ 10 สิงงหาคม ในการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งมีอานนท์ นำภา, ไมค์ – ภาณุพงศ์ จาดนอก และ รุ้ง – ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เป็นผู้ปราศรัย เป็นการกระทำที่เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
“ไม่น่าแปลกใจมาก เพราะคำตัดสินตั้งแต่ปี 2549 เป็นไปในทิศทางเดียวกันมาตลอด” เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับ The MATTER ถึงถ้อยแถลงของศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนกล่าวต่อว่า “แต่ความรุนแรงของผลมีไหม มันก็ยังเป็นที่น่ากังวลอยู่ดี เพราะคำตัดสินคือ 8-1 เป็นเอกฉันท์ ดังนั้น มันจะมีผลทางการเมืองต่อไปข้างหน้าอีกเยอะ”
สำหรับประเด็นที่หลายคนพูดกันเรื่อง อำนาจปกครองเป็นของสถาบันกษัตริย์ อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ มองว่า “ยังคงคลุมเครืออยู่” เพราะเขามองว่าศาลยังไม่ได้พูดชัดว่าอำนาจปกครองเป็นของกษัตริย์มาจนถึงวินาทีนี้หรือเปล่า เพียงแต่พูดว่าตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา จนถึงรัตนโกสินทร์อำนาจเป็นของสถาบันกษัตริย์มาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม ถ้าความเข้าใจของหลายคนถูกต้อง เข็มทองกล่าวว่า “ความเข้าใจต่อระบอบที่เราอยู่ในตอนนี้จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย”
“ตั้งแต่มีการชุมนุมในปีที่แล้ว ข้อถกเถียงใหญ่ที่สุดของสังคมไทยคืออำนาจสูงสุดเป็นของใคร ดังนั้น พอศาลพูดถึงประเด็นนี้ คนเลยอ่อนไหวเป็นพิเศษ เพราะอย่างต้นปีศาลมีคำวินิจฉัยเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญตอนนั้นบอกว่าอำนาจเป็นของปวงชน แต่ปลายปีอำนาจเป็นของพระมหากษัตริย์” เขาเสริมว่าเรื่องความเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดคือ “ประเด็นที่สำคัญมากในวิกฤตการเมืองไทยครั้งนี้”
“โทนของการอธิบายในวันนี้ หลายคนคงรู้สึกว่ามันไม่ตรงกับความเข้าใจประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านมาและร่วมสมัย ซึ่งมันสำคัญมาก เพราะถ้าศาลกับประชาชนมีความเข้าใจในเรื่องรากเหง้า ประวัติศาสตร์คนละแบบ มันจะเหมือนเราอยู่คนละบ้านเดียวกันเลย”
ทั้งนี้ เข็มทองยังมองว่าสุดท้ายเอกสารคำวินิจฉัยที่ลงในราชกิจจานุเบกษาอาจมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำให้รัดกุมชัดเจนขึ้นก็ได้ ซึ่งสำหรับเขามันไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เพราะการใช้อำนาจทางกฎหมายในการตัดสินควรตรงกับเอกสารที่ออกมาในภายหลัง
เข็มทองมองต่อถึงการตีความข้อเสนอปฏิรูปว่าแฝงเจตนาซ่อนเร้นในการล้มล้างการปกครอง เขามองว่าบางที “ศาลคิดเยอะไปไหม” เขาชี้ว่าสื่อและนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศต่างมองการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ว่าขาดการจัดตั้ง ไร้แกนนำ แต่ผูกกันด้วยอุดมการณ์อย่างหลวมๆ ดังนั้น “การที่ศาลไปบอกว่ามีเจตนาซ่อนเร้น มีการทำเป็นเครือข่าย ผมว่ามันไม่ตรงกับความเข้าใจของคนอื่นในรอบปีที่ผ่านมา”
สำหรับหนึ่งในประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ คำตัดสินของศาลนี้จะมีขอบเขตถึงแค่ไหน และใครบ้างที่ต้องปฏิบัติตาม เข็มทองพูดเพื่อนสั้นๆ ว่า “ต่อจากนี้พูดไม่ได้เลย” ซึ่งรวมถึงห้ามรณรงค์เรื่องการแก้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาตรา 112 ด้วย เพราะเป็นหนึ่งในข้อเสนอที่อยู่ในการปราศรัยครั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม เข็มทองท้วงติงศาลเรื่องการสั่งห้ามการกระทำในอนาคต เพราะเขามองว่าอำนาจของศาลถูกจำกัดอยู่แค่เหตุการณ์ที่เป็นข้อเท็จจริง การพูดถึงอนาคตเป็นการใช้ “อำนาจเกินกว่าที่ศาลสั่งได้ตามรัฐธรรมนูญ”
“ศาลทำได้แค่หยุดการกระทำ ณ ขนาดนั้น แต่ไม่สามารถห้ามไปในอนาคตได้ เพราะมันเป็นเรื่องข้อเท็จจริง มันต้องไปดูว่าแต่ละครั้งที่พูด มันพูดอะไรบ้าง มีบริบทอย่างไรบ้าง”
เขามองว่าหลังจากนี้ เจ้าหน้าที่ภาครัฐรวมถึงนักร้องทั้งหลายน่าจะมีหลังพิงมากขึ้น กล่าวคือมีโอกาสที่จะใช้คำวินิจฉัยของศาลเป็นเหตุผลสนับสนุนในการดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมถีง ม.112 “ใครคิดจะผลักประเด็นปฏิรูปสถาบันเพื่อเคลื่อนไหวทางสังคมจะยากขึ้น แต่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้นะ เพียงแต่ตำรวจและนักร้องทั้งหลายจะมีเหตุผลที่หนักแน่นขึ้นในการปิดปาก”
ทั้งนี้ เข็มทองทิ้งท้ายว่า สุดท้ายคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้เปลี่ยนวิกฤตความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และซ้ำร้ายอาจทำให้สถานกาณณ์แย่ลงด้วยซ้ำ
“คำวินิจฉัยก็ไม่เปลี่ยนข้อเท็จจริงของสังคม ไม่ว่าความขัดแย้งเรื่องอำนาจสูงสุด ความรักหรือไม่รักสถาบัน และขบวนการเคลื่อนไหวก็น่าจะคาดการณ์ได้อยู่แล้วถึงการตัดสินครั้งนี้ ดังนั้น ผมคิดว่ามันเปลี่ยนอะไรทางการเมืองน้อยมาก และถ้าจะเปลี่ยนคงทำให้ร้อนแรงขึ้นด้วยซ้ำ”