COVID-19 กลับมาระบาดอีกครั้งในหลายๆ ประเทศแถบยุโรปรวมถึงออสเตรีย ที่แม้จะฉีดวัคซีนประชาชนได้ 2 ใน 3 ของประชาชนแล้วแต่อัตราการติดเชื้อยังสูงเป็นอันดับต้นๆ ในทวีป ทำให้รัฐบาลตัดสินใจออกมาตรการล็อกดาวน์ ‘คนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน’ แต่การล็อกดาวน์นั้นได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นการประท้วงใหญ่กลางเมืองในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
ต้นเหตุที่ทำให้ออสเตรียคุม COVID-19 ไม่อยู่คืออะไร แล้วทำไมชาวออสเตรียถึงไม่เห็นด้วยกับนโยบายล็อกดาวน์รวมถึงนโยบายบังคับฉีดวัคซีน The MATTER ชวนมาอ่านโพสต์นี้กัน
เล่าคร่าวๆ ก่อนว่าปัจจุบัน 65% ของประชากรชาวออสเตรียได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการฉีดวัคซีนต่ำที่สุดในยุโรปตะวันตก นอกจากนี้ตัวเลขการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นทุกวันกลับไม่ทำให้สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในประเทศดีขึ้น
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ออสเตรียเพิ่งมีผู้ติดเชื้อใหม่รายวันทะลุ 15,000 คนเป็นครั้งแรก สอดคล้องกับอัตราการครองเตียงในโรงพยาบาลกำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ จนรัฐบาลเกรงว่าท้ายที่สุดจะทำให้ระบบสาธารณสุขของประเทศเดินทางไปถึงจุดแตกหัก
ทำให้รัฐบาลตัดสินใจออกมาตรการควบคุม COVID-19 สุดเข้มข้น และนำมาสู่ความไม่พอใจ จนประชาชนกว่า 3 หมื่นคนตัดสินใจลงถนนมาประท้วง จนเกิดเหตุจลาจลขึ้นกลางกรุงเวียนนา เมืองหลวงของประเทศ
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ออสเตรียได้ประกาศใช้มาตรการ ‘ล็อกดาวน์คนที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีน’ ภายใต้มาตรการนี้ ผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีนจะได้รับอนุญาตให้ทำกิจกรรมในที่สาธารณะเพียงไม่กี่อย่าง เช่น เดินทางออกไปซื้อของ ทำงาน หรือฉีดวัคซีน ส่วนกิจกรรมในที่ร่มอย่างดูหนัง ออกกำลังกายในฟิตเนส หรือไปคาเฟ่จะไม่ได้รับอนุญาต
ผู้ที่ฝ่าฝืนจะโดนปรับเงินอย่างน้อย 500 ยูโร หรือราว 18,000 บาท ส่วนผู้ประกอบการที่อนุญาตให้ใช้บริการก็จะโดนปรับเงิน 3,600 ยูโร หรือประมาณ 134,000 บาทด้วย
ออสเตรียเป็นชาติแรกของโลกที่ใช้นโยบายกักบริเวณผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนอย่างเป็นทางการ ด้วยหวังว่านโยบายนี้จะทำให้สถานการณ์การระบาดในประเทศดีขึ้น และอีกนัยหนึ่งหวังว่าจะเป็นการกระตุ้นให้คนยอมฉีดวัคซีนมากขึ้นไปในตัว แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะแม้ว่าจะมีการล็อกดาวน์กลุ่มคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อก็ยังพุ่งไม่หยุด รัฐบาลจึงพิจารณาใช้มาตรการที่เข้มข้นอีกระดับคือ การล็อกดาวน์ทั้งประเทศ และบังคับทุกคนต้องฉีดวัคซีน
#ล็อกดาวน์ทั่วประเทศเป็นครั้งที่4 และการไม่ฉีดวัคซีนคือผิดกฎหมาย
รัฐบาลออสเตรียประกาศพาประเทศกลับสู่การล็อกดาวน์เต็มรูปแบบเป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด โดยกำหนดให้มีการล็อกดาวน์วันแรกคือ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และทั้งเมืองจะอยู่ภายใต้มาตรการนี้ไปอย่างน้อย 10 วันและอาจลากยาวไปถึง 20 วัน ซึ่งนโยบายนี้เป็นกลายมาเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้ประชาชนต่างลุกฮือออกมาประท้วงตามท้องถนน
แต่การล็อกดาวน์ทั้งประเทศไม่ใช่ชนวนความโกรธเกรี้ยวอย่างเดียวที่ทำให้ประชาชนตัดสินใจลงถนน เพราะในวันเดียวกับที่รัฐบาลประกาศพาประเทศกลับสู่มาตรการเข้มข้น รัฐบาลยังบอกว่าอีก จะมีการออกกฎหมายบังคับให้ประชาชน ‘ทุกคน’ ต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2022 เป็นต้นไป ทำให้ออสเตรียเป็นชาติแรกในโลกที่ตัดสินใจให้การฉีดวัคซีนมีผลผูกพันทางกฎหมาย ซึ่งนโยบายนี้เองได้กลายมาเป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่นำมาสู่จุดแตกหักระหว่างรัฐบาลและประชาชน
#เบื้องหลังการลุกฮือของประชาชน
อย่างที่บอกไป การออกมาเดินขบวนของประชาชนมีต้นเหตุหลักๆ 2 เหตุผลประกอบกันคือ การต่อต้านวัคซีน และการต่อต้านล็อกดาวน์
ชาวยุโรป และสหรัฐฯ นั้นมีกลุ่มคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘Anti-Vaccine’ ซึ่งออสเตรียก็มีคนกลุ่มนี้อยู่ ไม่ว่าจะด้วยทฤษฎีสมคบคิด หรือความคลางแคลงใจในประสิทธิภาพของวัคซีน COVID-19 แต่มันทำให้ปัจจุบันอัตราการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ในประเทศออสเตรียชะงักอยู่ที่ 69% เพิ่มมาไม่ถึง 10% จากอัตราเดิม 60% เมื่อต้นเดือนสิงหาคม
แต่ปัญหาการต่อต้านวัคซีนในออสเตรียยังซับซ้อนกว่านั้น เพราะอีกส่วนหนึ่งมันเป็นภาพสะท้อนของทางการเมืองด้วย ออสเตรียเป็นเหมือนเกือบทุกๆ ประเทศที่พรรคการเมืองจะแบ่งเป็น 2 ฝักสองฝ่าย ซึ่งในกรณีของออสเตรีย พรรคเสรีภาพ (FPO) พรรคการเมืองขวาจัด และเป็นพรรคขนาดใหญ่อันดับ 3 ในสภาผู้แทนราษฎรของออสเตรีย อีกทั้งยังเป็นตัวแทนรัฐอัปเปอร์ออสเตรียจากการเลือกตั้งระดับภูมิภาคได้แสดงออกชัดเจนว่ามีแนวคิดต่อต้านวัคซีน
ที่ผ่านมาเฮอร์เบิร์ต คิคเคิล หัวหน้าพรรค FPO ได้ออกมาวิจารณ์นโยบายวัคซีนของรัฐบาล และบอกว่า รัฐบาลจงใจแบ่งชนชั้นผู้คนจากการฉีดวัคซีน ซึ่งยิ่งทำให้กลุ่มผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนเกิดความลังเล และโกรธเคืองภาครัฐ
ตัวอเล็กซานเดอร์ ชาลเลนเบิร์ก นายกรัฐมนตรีออสเตรียก็ดูจะทราบดีว่าปัญหาทางการเมืองเป็นเสี้ยนใหญ่ที่ทำให้แผนการฉีดวัคซีนไม่เป็นไปตามเป้า โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ในประเทศนี้มีการรวมตัวของกลุ่มฝักใฝ่ขั้วการเมืองมากเกินไป พวกเขากำลังต่อต้านการฉีดวัคซีนอย่างรุนแรง และเปิดเผย ซึ่งทำให้ระบบสาธารณสุขของประเทศเผชิญหน้ากับความเสี่ยง “ผลที่ได้คือผู้ป่วยจำนวนมากกำลังทุกข์ทรมาน และแออัดอยู่ในห้อง ICU” ชาลเลนเบิร์กกล่าว
ส่วนปัญหาการต่อต้านการล็อกดาวน์นั้น เป็นผลมาจากประชาชนบางส่วนมองว่าการล็อกดาวน์ทั้งประเทศเป็นการลิดรอนเสรีภาพของพลเมือง ประกอบกับอย่างที่กล่าวไปข้างต้น การล็อกดาวน์ครั้งนี้เป็นการล็อกดาวน์ครั้งที่ 4 ของออสเตรีย ทำให้หลายคนวิจารณ์ว่ารัฐบาลกำลังใช้อำนาจเกินขอบเขต และล้มเหลวในเหลวในการควบคุม COVID-19 จนส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชน
และอีกสาเหตุคือ ความเชื่อมั่นในพรรคการเมืองฝ่ายที่ตัวเองศรัทธา ที่ผ่านมา เฮอร์เบิร์ต คิคเคิลออกมาวิจารณ์หลายต่อหลายครั้งว่า นโยบายล็อกดาวร์เป็นนโยบาย ‘เผด็จการ’ และออสเตรียกำลังเดินในเส้นทางของเผด็จการ
อีกทั้งในช่วงที่มีการประท้วง ตัวแทนของพรรค FPO ยังออกมาสนับสนุนการชุมนุมของประชาชน เมื่อมีผู้นำ ประชาชนฝ่ายขวาจัดก็ยิ่งออกมาชุมนุมกันมากขึ้น และทำให้เกิดการรวมตัวของมวลชนกลุ่มใหญ่อย่างที่เราเห็นภาพในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
#การลุกฮือของกลุ่มต่อต้านล็อกดาวน์และการบังคับฉีดวัคซีน
หลังจากมีการประกาศมาตรการล็อกดาวน์ทั่วเมืองและการบังคับฉีดวัคซีน ประชาชนกว่า 30,000 คนได้ออกมารวมตัวกันที่จตุรัสกลางกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย มีการถือป้ายข้อความต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น ‘ไม่ฉีดวัคซีน’ หรือ ‘ต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ทางการต้องระดมกำลังตำรวจกว่า 1,000 นายมาควบคุมสถานการณ์
แต่แล้วก็เกิดการปะทะระหว่าง 2 ฝ่าย กลุ่มผู้ชุมนุมได้ขว้างปาสิ่งของ จุดดอกไม้ไฟ รวมถึงมีการจุดไฟเผายางรถยนต์ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องฉีดน้ำเพื่อควบคุมสถานการณ์ และมีผู้ถูกจับกุมจากเหตุการณ์นี้แล้วอย่างน้อย 5 คน
หนึ่งในผู้ประท้วง คาตเจีย ชัวเซงเกอร์ ได้ถือป้ายข้อความว่า “เสรีภาพ สันติภาพ และมนุษยชาติ” พร้อมบอกว่า เธอโกรธที่มีการกำหนดข้อจำกัดสำหรับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน “สังคมกำลังถูกแบ่งแยก กลุ่มคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีนถูกกีดกันออกจากชีวิตสาธารณะ และถูกบังคับให้ทำสิ่งที่เราไม่ต้องการทำ
ขณะที่ อูโด ลันด์บาวเออร์ หนึ่งในนักการเมืองฝ่ายขวาจัดได้ออกมาปลุกใจผู้ร่วมชุมนุมว่า “เราทุกคนเป็นชาวออสเตรีย ไม่ว่าจะฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีนก็ตาม เรามีสิทธิ์ของตัวเอง และจะเรียกร้องต่อไปจนกว่าจะได้สิทธิ์ขั้นพื้นฐานกลับมา”
เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผู้ประท้วงหลายสิบคนรวมตัวกันที่หน้าทำเนียบประธานาธิบดีเพื่อร่วมกันจุดไฟแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ พร้อมทั้งกล่าวสุนทรพจน์แสดงความไม่พอใจต่อมาตรการใหม่ที่รัฐบาลออกมานี้ ท่ามกลางความกังวลของผู้เชี่ยวชาญทั่วประเทศที่มองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง และท้ายที่สุดความรุนแรงทั่วประเทศ
อ้างอิงจาก
https://thehill.com/…/581900-austrian-cases-hit-record…
https://www.theguardian.com/…/austria-covid…
https://www.theguardian.com/…/austria-vaccine-mandates…
https://wtop.com/…/austria-to-enter-lockdown-bring-in…/
https://www.nytimes.com/…/austria-lockdown-vaccine…