แม้ลักษณะการกลายพันธุ์ของ COVID-19 สายพันธุ์โอไมครอนน่าดูน่ากังวล แต่นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า การกลายพันธุ์มากตำแหน่งอาจไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่รุนแรงเสมอไป เพราะบางครั้งพวกมันก็ทำลายกันเองได้ด้วย
อย่างที่มีข้อมูลรายงานออกมาก่อนหน้านี้ว่า COVID-19 สายพันธุ์โอไมครอนมีการกลายพันธุ์กว่า 50 จุด ซึ่งเยอะกว่าสายพันธุ์เดลต้า ทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกกังวลว่าไวรัสตัวใหม่นี้อาจปลุกให้สถานการณ์ระบาด COVID-19 กลับมาเลวร้ายอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์บางคนชี้ให้เห็นว่า การกลายพันธุ์ที่มากกว่าเดิม อาจไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เพราะพวกมันอาจกลายพันธุ์เพื่อทำลายกันเอง
ปรากฎการณ์นี้เรียกว่า อีพิสตาซิส (epistasis) หรือ ยีนที่ส่งอิทธิพลข่มยีนอื่น เป็นเหตุให้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่กล้าฟันธงเกี่ยวกับคุณสมบัติของเจ้าไวรัสตัวใหม่นี้ แม้เคสตัวอย่างที่พบจะชี้ไปในทางที่ว่า โอไมโครอนอาจทำให้เชื้อแพร่กระจายเร็วขึ้น และอาจหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากการกระตุ้นวัคซีนได้มากขึ้นก็ตาม
เจสซี บลูม นักชีววิทยาด้านวิวัฒนาการจากศูนย์วิจัยมะเร็งเฟรด ฮัทชินสันในซีแอตเทิล อธิบายถึงทฤษฎีการกลายพันธุ์ว่า โดยปกติแล้ว เมื่อเกิดการกลายพันธุ์จำนวนมาก ตัวกลายพันธุ์อาจทำลายกันเองได้ แต่ข่าวร้ายคือ ไวรัสตัวใหม่นี้ก็ยังมีแนวโน้มว่ามันจะเป็นการกลายพันธุ์ที่นำไปสู่การแพร่กระจายของไวรัสที่แข็งแกร่งขึ้น มากกว่าจะให้ผลลัพธ์ในทางนั้น
ตามปกติแล้ว การระบาดของตัวแปรต่างๆ จะรุนแรงแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าไวรัสจับกับเซลล์ของมนุษย์ได้ดีแค่ไหน และตัวไวรัสมีความแข็งแกร่งมากแค่ไหนด้วย ซึ่งโอไมครอนมีลักษณะการกลายพันธุ์ที่ทำให้สามารถจับกับเซลล์มนุษย์ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม เจสซีมองว่า มันยังมีความเป็นไปได้ที่การกลายพันธุ์นี้จะให้ผลลัพธ์ที่ต่างไป และเป็นสาเหตุที่ทำให้ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าไวรัสจะไปทำปฏิกิริยาอย่างไรกับร่างกายเมื่อติดเชื้อ
ดร.เพนนี มัวร์ นักไวรัสวิทยาจากสถาบันโรคติดต่อแห่งชาติในแอฟริกาใต้กล่าวว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องทำความเข้าใจไวรัสทั้งหมด” โดยทีมของเธอเป็นอีกหนึ่งทีมที่พยายามทำความเข้าใจว่าวัคซีนที่ทั่วโลกมีตอนนี้ยังมีประสิทธิภาพพอจะต้านทาน COVID-19 ตัวใหม่นี้หรือไม่ ซึ่งตอนนี้ทีมวิจัยกำลังสร้างไวรัสเวอร์ชั่นเทียมที่ระบุการกลายพันธุ์ของโอไมครอนทุกจุด เพื่อศึกษาข้อมูลของตัวแปรใหม่นี้ และคาดว่าน่าจะให้ข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้นเร็วๆ นี้
สำหรับ COVID-19 สายพันธุ์โอไมครอน ตรวจพบครั้งแรกในแอฟริกาใต้ ก่อนจะแพร่กระจายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยประเทศล่าสุดที่พบคือ ‘ญี่ปุ่น’ ด้วยความที่ยังเป็นไวรัสตัวใหม่ ทำให้ยังไม่มีข้อมูลออกมายืนยันว่ามันมีคุณสมบัติแพร่กระจายเชื้อได้เร็วและรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ หรือไม่ แต่ด้วยลักษณะการกลายพันธุ์ที่มากเป็นพิเศษของมัน ทำให้หลายประเทศออกมาตรการควบคุมการระบาด เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา
อ้างอิงจาก
https://www.nytimes.com/…/omicron-covid-mutation…
https://thematter.co/brief/161261/161261