เป็นที่ทราบกันดีว่า ความยากจนส่งผลกับชีวิตเด็กเป็นล้านๆ คนที่เกิดมาในภาวะขาดแคลนอย่างที่พวกเขาไม่สมควรต้องเจอ แต่งานวิจัยทางประสาทวิทยาศาสตร์ชิ้นล่าสุดจากสหรัฐฯ ก็เพิ่งยืนยันได้เป็นครั้งแรกว่า สภาพการเงินของครอบครัว ส่งผลไปถึงพัฒนาการทางสมองของเด็กได้ด้วย
งานวิจัยนี้มีชื่อว่า ‘Baby’s First Years’ เผยแพร่โดยวารสาร Proceedings of the National Academies of Sciences (PNAS) ซึ่งทำการทดลองด้วยการหาคุณแม่ที่เพิ่งคลอดที่มีรายได้น้อยมาจำนวน 1,000 คน และมอบเงินรายเดือนให้คุณแม่กลุ่มหนึ่ง จำนวน 333 ดอลลาร์ หรือราวๆ 11,000 บาท กับอีกกลุ่มหนึ่งที่จะให้แค่ 20 ดอลลาร์ต่อเดือน หรือ 661 บาท
ผลการศึกษา พบว่า การให้เงินกับแม่ที่มีรายได้น้อย เป็นจำนวน 333 ดอลลาร์สหรัฐฯ มีผลทำให้สมองของเด็กๆ แสดงผลคลื่นไฟฟ้าสมอง หรือ ‘EEG’ ที่สะท้อนว่ามีกิจกรรมทางสมองที่สูงขึ้นกว่าอีกกลุ่มที่ได้เงินจำนวนน้อยกว่า ตอกย้ำโดยตรงถึงความเชื่อมโยงระหว่างสภาพทางการเงินของครอบครัวกับการทำงานของสมองเด็ก
สำหรับการค้นพบครั้งนี้ มาร์ธา เจ. ฟาราห์ ผู้เชี่ยวชาญประสาทวิทยาศาสตร์จาก ม.เพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบงานวิจัยชิ้นนี้ ให้ความเห็นว่า “เป็นการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งใหญ่” เพราะเป็นหลักฐานชัดเจนว่าการให้เงินเพิ่มกับครอบครัว ถึงแม้จะมีจำนวนไม่มากนัก แต่ก็ส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางสมองที่ดีกว่าเดิมได้
สาเหตุที่ทำให้มีพัฒนาการทางสมองที่ดีกว่าเดิมนั้น ยังคงต้องทำการวิจัยเพื่อยืนยันต่อไป แต่ก็มีการคาดการณ์ว่า เงินที่เพิ่มขึ้นอาจจะส่งผลให้ซื้ออาหารที่ดีขึ้นได้ ช่วยลดความเครียดของคุณพ่อ–คุณแม่ หรือไม่ก็ทำให้คุณแม่สามารถทำงานน้อยลงแล้วมาใช้เวลากับเด็กได้มากขึ้น
งานวิจัยดังกล่าวเพิ่งดำเนินไปเป็นปีแรกเท่านั้น จากที่วางแผนจะทำการศึกษาทั้งหมด 4 ปี โดยทีมนักวิจัยจะกลับมาเก็บข้อมูลในทุกๆ ปี เพื่อทำการเปรียบเทียบต่อไป แต่แค่ปีเดียวก็ถือว่าสำคัญ เพราะผลการศึกษาจะมีนัยยะโดยตรงกับการกำหนดนโยบายทางสังคม เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้สนับสนุนรัฐสวัสดิการอาจจะหยิบยกมาเพื่อให้มีการอุดหนุนผู้มีรายได้น้อยกันอย่างจริงจัง
อ้างอิงจาก
https://www.nytimes.com/2022/01/24/us/politics/child-tax-credit-brain-function.html
https://www.vox.com/future-perfect/22893313/cash-babies-brain-development