ในรอบเดือนที่ผ่านมา สถานการณ์รอบๆ พรมแดนยูเครนถือว่ามีความน่ากังวลและเป็นที่จับตาจากทั่วโลกว่าจะคลี่คลายไปในทิศทางใด
จากข้อมูลล่าสุด ก่อนที่จะมีการถอนกำลังบางส่วน พบว่ามีกองกำลังของรัสเซียมากถึง 130,000 นายที่ถูกวางกำลังในบริเวณรอบๆ พรมแดนของยูเครน คาดการณ์ว่ามีถึง 100,000 นายที่เข้ามาประชิดพรมแดน ขณะที่อีกประมาณ 30,000 นายกำลังอยู่ในการซ้อมรบในเบลารุส ไม่ไกลจากยูเครนมากนัก
ขณะเดียวกัน ทางฝั่งกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ก็ได้สั่งการทหารกว่า 8,500 นาย ให้ “เตรียมพร้อมรบในระดับสูง” เพื่อเตรียมเคลื่อนพลไปยังยุโรปตะวันออก หากรัสเซียบุกรุกยูเครนขึ้นมาจริงๆ
แต่ทำไมภูมิภาคนี้จึงมีความตึงเครียดขึ้นมาตั้งแต่แรก? รัสเซียต้องการอะไรจากความขัดแย้งครั้งนี้? The MATTER ชวนถอยหลังกลับไปตั้งแต่เหตุการณ์สหภาพโซเวียตล่มสลาย แล้วย้อนมาดูท่าทีของรัสเซียในปัจจุบัน
วิกฤตความขัดแย้งในยูเครนวันนี้ ต้องเท้าความกลับไปถึงยุคสมัยของสหภาพโซเวียต ยูเครนถือว่ามีความสำคัญกับรัสเซียมาตั้งแต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ในฐานะสาธารณรัฐที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 และมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสอง 2 รองจากรัสเซีย รวมถึงมีอัตลักษณ์และวัฒนธรรมใกล้ชิดกับรัสเซียมากที่สุด แตกต่างจากสาธารณรัฐในเอเชียกลางที่เป็นประเทศมุสลิม สหภาพโซเวียตจึงขาดยูเครนไปไม่ได้
และเมื่อชาวยูเครนลงประชามติประกาศตัวเป็นเอกราชจากสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 1991 โดยมีมติเป็นเสียงส่วนใหญ่ถึง 92.3% ก็อาจกล่าวได้ว่า นั่นคือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สหภาพโซเวียตต้องปิดฉากลง ซึ่งยืนยันโดยปากคำของประธานาธิบดีคนแรกของสหพันธรัฐรัสเซีย บอริส เยลต์ซิน ที่บอกว่า สหภาพโซเวียตจะรับภาระไม่ไหว – โดยเฉพาะภาระทางเศรษฐกิจ – หากปราศจากยูเครนไป
แต่ถึงแม้สหภาพโซเวียตจะล่มสลายลง แต่ผู้นำรัสเซียยังคงต้องการให้ยูเครนอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัสเซียต่อไป และเราจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดจากบทความของ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียคนปัจจุบัน ในหัวข้อ “On the Historical Unity of Russians and Ukrainians” (“ว่าด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกันทางประวัติศาสตร์ของชาวรัสเซียและยูเครน”) ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2021
ในบทความดังกล่าว ปูตินเริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า “ข้าพเจ้าเคยบอกว่าชาวรัสเซียและยูเครนคือคนกลุ่มเดียวกัน – เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คำพูดเหล่านี้ไม่ได้มาจากการหวังผลระยะสั้นหรือบริบททางการเมืองในปัจจุบัน แต่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เคยกล่าวในหลายๆ โอกาส และเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า”
ในส่วนต่อมาของบทความ ปูตินร่ายยาวถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของความใกล้ชิดระหว่างยูเครนและรัสเซีย โดยมีที่มาทั้งหมดจากข้ออ้างที่ว่า ชาวรัสเซีย ยูเครน รวมถึงเบลารุส ต่างก็สืบเชื้อสายมาจากจักรวรรดิรุสเคียฟด้วยกัน ในสมัยนั้น กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ ต่างก็มีสายใยทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกัน นับถือนิกายออร์ทอดอกซ์เช่นเดียวกัน อีกทั้งยังพูดภาษาเดียวกัน
อย่างไรก็ดี ภายหลังจากประกาศแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต ยูเครนก็พยายามปลีกตัวออกจากอิทธิพลของรัสเซีย และเข้าหาตะวันตกมากขึ้น โดยเฉพาะหลังเกิดการปฏิวัติสีส้ม (Orange Revolution) ในปี 2005 ที่นำมาสู่ขึ้นสู่อำนาจของประธานาธิบดี วิกเตอร์ ยูชเชนโก ซึ่งชูนโยบายเข้าหาสหภาพยุโรป (EU) รวมถึงพยายามเข้าเป็นสมาชิก NATO ด้วย แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่รัสเซียต่อต้านมาโดยตลอด
แต่หมุดหมายสำคัญอันหนึ่งของวิกฤตในยูเครน คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2014 ในสมัยของประธานาธิบดี วิกเตอร์ ยานูโควิช ซึ่งมีท่าทีค่อนไปทางเอาใจรัสเซีย ต้องอธิบายย้อนกลับไปเล็กน้อยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2013 เมื่อยานูโควิชพยายามล้มเลิกข้อตกลงที่ทำกับ EU และฟื้นสัมพันธ์กับรัสเซียมากยิ่งขึ้น จนส่งผลให้ประชาชนรวมตัวประท้วงในการชุมนุมที่มีชื่อเรียกว่า ‘ยูโรไมดาน’ (Euromaidan) จนกระทั่งรัฐสภามีมติถอดถอนยานูโควิชในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2014 ซึ่งก็เป็นความเคลื่อนไหวที่สร้างความไม่พอใจอย่างหนักให้กับทางฝั่งของรัสเซีย
เหตุการณ์การโค่นล้มรัฐบาลของยานูโควิชทั้งหมด มีชื่อเรียกรวมๆ ว่า การปฏิวัติแห่งศักดิ์ศรี (Revolution of Dignity) ซึ่งมีจุดแตกหักเกิดขึ้นที่ไครเมียเป็นผลลัพธ์ตามมา ปฏิกิริยาของรัสเซียในเรื่องนี้ที่ต้องการมีอิทธิพลเหนือยูเครนอยู่แล้ว คือ เคลื่อนทัพเข้ายึดคาบสมุทรไครเมียของยูเครนที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย หลังจากนั้นไม่นาน ไครเมียได้จัดให้มีการลงประชามติอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 มีนาคม 2014 โดยมีมติส่วนใหญ่ให้รวมไครเมียเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย จนในที่สุดนำมาสู่การลงนามสนธิสัญญาผนวกรวมไครเมียในวันที่ 18 มีนาคม
การบุกรุกไครเมีย – ประกอบกับการที่รัสเซียให้การสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในภูมิภาคดอนบัสทางตะวันออกของยูเครนซึ่งเกิดขึ้นไล่เลี่ยกัน – ยิ่งผลักไสให้ยูเครนใกล้ชิดกับตะวันตกมากยิ่งขึ้น ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับตะวันตกก็ยิ่งย่ำแย่ลง ไครเมียกลายเป็นหลักฐานให้ยูเครนชูประเด็นเพื่อผลักดันเรื่องการเข้าร่วม NATO มากกว่าเดิม แม้ผู้นำยูเครนชุดใหม่จะไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็แสดงความต้องการเกี่ยวกับ NATO ชัดเจนยิ่งขึ้น
แน่นอน สำหรับรัสเซีย ประเด็น NATO ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องที่ยูเครนจะเข้าร่วมเป็นสมาชิก NATO ซึ่งรัสเซียมองว่าเป็น “เส้นสีแดง” ที่จะข้ามไม่ได้ ปูตินเคยเตือนสหรัฐฯ ในปี 2008 ว่า “ไม่มีผู้นำรัสเซียคนไหนจะยอมยืนอยู่เฉยในขณะที่ยูเครนก้าวเข้ามาเป็นสมาชิก NATO นั่นถือเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัสเซีย”
สำหรับ NATO หรือ ‘North Atlantic Treaty Organization’ (องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ) คือพันธมิตรทางการทหารที่ก่อตั้งเมื่อปี 1949 โดย 12 ประเทศสมาชิก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา เบลเยียม เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ไอซ์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และโปรตุเกส โดยในปัจจุบันมีสมาชิกมากถึง 30 ประเทศ
หลักการหนึ่งที่สำคัญที่สุดของ NATO ก็คือ หลักการป้องกันร่วม (collective defense) นั่นหมายความว่า หากมีการโจมตีประเทศใดประเทศหนึ่งที่เป็นสมาชิก ก็จะถือว่าเป็นการโจมตีทุกๆ ประเทศใน NATO และจะต้องเป็นหน้าที่ของแต่ละประเทศในการส่งกองกำลังหรือออกมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือในการตอบโต้
ฉะนั้น หากยูเครนได้เป็นสมาชิกส่วนหนึ่งของ NATO ได้จริงๆ ก็จะช่วยให้ยูเครนป้องกันการโจมตีของรัสเซียได้อย่างมาก และจะช่วยดึงยูเครนออกจากอิทธิพลและการครอบงำของรัสเซียได้อย่างมีนัยสำคัญ
ซึ่งแน่นอน ที่ผ่านมา รัสเซียมองว่า NATO เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัสเซียมาโดยตลอด และยิ่งรัสเซียมองว่า NATO “ขยาย” มาทางทิศตะวันออกมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยิ่งกระทบกับรัสเซียในแบบที่จะนิ่งเฉยไม่ได้
โดยเฉพาะเมื่อปูตินมักจะอ้างคำสัญญาอันโด่งดังที่ เจมส์ เบเกอร์ รมต.กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เคยให้ไว้กับ มิคาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียตในปี 1990 ว่า NATO จะ “ไม่ขยายมาทางตะวันออกแม้แต่นิ้วเดียว” ซึ่งแน่นอนว่าในมุมมองของปูติน NATO ได้ขยับเข้ามาหลายนิ้วแล้ว ถือว่าผิดสัญญากันซึ่งๆ หน้า
(อย่างไรก็ดี ประเด็นนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกัน โดยมีผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่า ประโยคดังกล่าวอยู่ในบริบทของการพูดคุยเรื่องการรวมชาติเยอรมนีตะวันออก-ตะวันตก และการเป็นสมาชิก NATO ของเยอรมนีหลังรวมชาติ ไม่เกี่ยวข้องกับการรับอดีตประเทศที่เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของโซเวียตเข้าเป็นสมาชิก NATO อย่างในปัจจุบัน)
เมื่อไม่นานมานี้ รัสเซียได้ยื่นข้อเรียกร้องในรูปแบบร่างสนธิสัญญาต่อสหรัฐฯ และ NATO เพื่อถามหาหลักประกันเป็นลายลักษณ์อักษรและมีผลผูกพันในเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัสเซีย เช่น ห้าม NATO ขยายมาทางทิศตะวันออกอีก ห้ามวางกำลังทางการทหารนอกพรมแดนของตนในรูปแบบที่อีกฝ่ายอาจมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง ให้จำกัดการวางขีปนาวุธในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งห้ามสมาชิก NATO ทำการซ้อมรบในยูเครนและประเทศยุโรปตะวันออกอื่นๆ เป็นต้น (ซึ่งแน่นอนว่า NATO และสหรัฐฯ ไม่ยอมรับข้อเรียกร้องดังกล่าว)
ฉะนั้น หากถามว่ารัสเซียต้องการอะไรในวิกฤตครั้งนี้ แม้ปูตินจะไม่แสดงเจตนาออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน แต่ก็พอบอกได้ว่า เขาต้องการหยุดยั้งการรุกคืบของ NATO เพื่อรักษาเขตอิทธิพลของรัสเซีย และต้องการจะมีอำนาจควบคุมเหนือภูมิภาคยุโรปตะวันออกอีกครั้ง โดยเฉพาะในยูเครนที่ถือว่าเป็นหลังบ้านของรัสเซีย
อาจบอกได้แม้กระทั่งว่า ปูตินอยากจะเห็นรัสเซียกลับมายิ่งใหญ่เหมือนคราวสหภาพโซเวียต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า รัสเซียกับยูเครนไม่อาจพรากจากกันได้ เพราะถือว่าเป็นหนึ่งเดียวกันมาตั้งแต่ต้น
สถานการณ์ในวันนี้ ยังคงอึมครึมและมีความไม่แน่นอนสูง หลังจากที่รัสเซียวางกำลังตามพรมแดนรอบๆ ยูเครนมาสักพักใหญ่ๆ – แต่ก็มีสัญญาณในแง่ดีมากยิ่งขึ้น หลังรัสเซียแสดงออกอย่างชัดเจนว่ายังคงเปิดกว้างให้กับวิถีทางการทูตอยู่ โดยอาจไม่จำเป็นต้องมีมาตรการทางการทหาร
และล่าสุด กระทรวงกลาโหมของรัสเซียเปิดเผยวันนี้ (15 ก.พ.) ว่า ได้ถอนกองกำลังบางส่วนกลับเข้าสู่ฐานที่มั่น หลังจากที่เสร็จสิ้นภารกิจซ้อมรบในบริเวณใกล้เคียงพรมแดนเรียบร้อยแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน การซ้อมรบครั้งใหญ่ๆ ก็ยังคงดำเนินการต่อไป ขณะที่ยูเครนและตะวันตกยังไม่มั่นใจกับท่าทีของรัสเซีย ดีมีโตร คูเลบา รมต.กระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “เมื่อเราเห็นการถอนทหารกับตา เราถึงจะเชื่อว่ามีการลดระดับความขัดแย้งจริงๆ”
และในวันข้างหน้าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร รัสเซียจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ เราคงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด
อ้างอิงจาก