สมรสเท่าเทียม
ลาผ่าตัดแปลงเพศ
สวัสดิการเท่าเทียมสำหรับคู่รักเพศเดียวกัน
เชื่อว่าหลายคนคงอยากผลักดันให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นปกติในสังคมไทย รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเท่าเทียมและการโอบรับความหลากหลายในสังคม เช่นเดียวกับสามแบรนด์ดังอย่าง แสนสิริ ดีแทค และยูนิลีเวอร์ ที่ลุกขึ้นมาขับเคลื่อนประเด็นนี้ให้ไปไกลกว่าการสร้างความตระหนักรู้ (awareness) ให้กับผู้คน
โดยสามแบรนด์ข้างต้นได้ร่วมกันวางโรดแมประยะยาวสามปี ภายใต้การสนับสนุนจาก UNDP (โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย หรือ United Nations Development Programme) ซึ่งเปรียบเสมือนคนกลางที่การันตีว่าโปรเจกต์นี้ไม่ได้เป็นเพียงแคมเปญสั้นๆ ที่เกิดขึ้นแล้วโบกมือลาไปเงียบๆ เท่านั้น แต่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง ตั้งแต่นโยบายในองค์กร ไปจนถึงแคมเปญที่เป็นกระบอกเสียงให้กับคนในสังคม
โดยเป้าหมายในปีที่ 1 คือการทำความเข้าใจปัญหา สะสมไอเดีย กรณีศึกษาต่างๆ ก่อนจะนำมาต่อยอดในปีที่ 2 ผ่านการร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น ผู้รับเหมา คู่ค้าค้าทางธุรกิจ (supply chain) รวมทั้งคิดสวัสดิการเพื่อความหลากหลายและเริ่มขยายจากความเท่าเทียมทางเพศไปยังความเท่าเทียมด้านอื่นๆ ก่อนจะเดินทางไปสู่เป้าหมายสุดท้ายในปีที่ 3 คือการทำแคมเปญด้าน Diversity & Inclusion ร่วมกัน
เหตุผลที่โปรเจกต์นี้น่าตื่นเต้นและชวนติดตามคือสามแบรนด์ข้างต้น ไม่ได้เพิ่งจะออกมาแสดงจุดยืนหรือเคลื่อนไหวในประเด็นนี้ แต่เริ่มมีแคมเปญ นโยบาย และโครงการเจ๋งๆ ด้านความเท่าเทียมที่หลายคนอาจจะคุ้นเคยมาก่อน เช่น แสนสิริที่นับว่าโปรเจกต์นี้เป็นการสานต่อแคมเปญ “Live Equally เราเท่ากัน ฉันเท่าเธอ” ภายใต้การสนับสนุนของ UNDP มาเป็นปีที่ 3 นอกจากนี้แสนสิริยังได้ร่วมมือกับแปดธนาคารเพื่อปลดล็อกข้อจำกัดด้านการขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านให้กับคู่รัก LGBTQAI+ อีกด้วย
ส่วนยูนิลีเวอร์ หลายคนน่าจะคุ้นตากับโฆษณา Dove Let Her Grow ที่ออกมาพูดถึงสิทธิและความมั่นใจของเด็กผู้หญิงที่ถูกริดรอนออกไปพร้อมกับการตัดผม และดีแทค มีตั้งแต่นโยบายในองค์กร เช่น นโยบายลาคลอดหกเดือน นโยบายสวัสดิการเท่าเทียมสำหรับคู่รักเพศเดียวกัน ไปจนถึงกิจกรรมร่วมกับองค์กรต่างๆ ที่พยายามแก้ปัญหาเรื่อง cyberbullying
อย่างไรก็ตาม ณัฏฐิณี เนตรอำไพ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าวว่าการผลักดันความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในชีวิตจริงนั้น สามารถทำได้ทั้งในรูปแบบขอโครงการต่างๆ ที่ต้องอาศัยงบประมาณ และรูปแบบที่ไม่ต้องอาศัยงบประมาณสูงลิ่ว อย่างการปรับแนวคิดของผู้บริหาร การปฏิบัติต่อคนในองค์กรอย่างเท่าเทียม ไปจนถึงนโยบายของบริษัทที่สอดรับกับข้อจำกัดของผู้คนที่มีความหลากหลาย
สำหรับผลลัพธ์ของโปรเจกต์จากความร่วมมือของทั้งสามแบรนด์และหนึ่งองค์กรระดับโลกครั้งนี้จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงหรือสร้างแรงกระเพื่อมให้กับสังคมไทยในแง่มุมใดบ้าง ก็คงต้องติดตามกันต่อไปในระยะยาว