COVID-19 ยังไม่ทันหาย ฝีดาษลิงยังไม่ทันจบ ไหนจะไวรัสมาร์บวร์กที่เพิ่งระบาดจนคร่าชีวิตประชาชนในทวีปแอฟริกา ฝันร้ายยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะล่าสุด นักวิจัยเพิ่งค้นพบว่าโรคในมนุษย์มากกว่า 200 โรคอาจรุนแรงและอันตรายมากขึ้นอีก เนื่องจากภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (climate change)
เรียกได้ว่าเป็นการค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างโรคกับภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง กลุ่มนักวิจัยอธิบายว่า โรคในมนุษย์ที่เกิดจากเชื้อโรคกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเป็นผลพวงมาจากวิกฤตสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ผลการศึกษาค้นคว้านี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ Nature Climate Change
ในการค้นพบครั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้ศึกษาบทความทางวิทยาศาสตร์มากกว่า 77,000 ชิ้นเพื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างโรคและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ก่อนจะพบว่าจากโรคติดเชื้อ 375 ชนิดที่เจอในเอกสาร มีทั้งหมด 218 โรค (มากกว่าครึ่ง) ที่รุนแรงขึ้นเพราะอากาศเปลี่ยนแปลง เช่น คลื่นความร้อน ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ไฟป่า เป็นต้น
กลุ่มนักวิจัยชี้ว่า ไม่ว่าจะโรคไข้ซิกา มาลาเรีย ไข้เลือดออก ชิคุนกุนยา หรือกระทั่ง COVID-19 ล้วนเป็นโรคที่อันตรายและรุนแรงขึ้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอากาศเปลี่ยนแปลง
แล้วสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงทำให้โรครุนแรงขึ้นอย่างไร งานวิจัยนี้ยกตัวอย่างไว้ว่า เมื่อเกิดไฟไหม้ป่า เท่ากับว่าที่อยู่อาศัยของสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรคถูกรบกวน ทำให้สัตว์เหล่านี้ต้องอพยพย้ายไปอยู่ที่ใหม่ และสัตว์เหล่านี้จำต้องอพยพโยกย้ายเข้ามาใกล้ชิดมนุษย์มากขึ้น ซึ่งนี่เป็นการเพิ่มโอกาสในการแพร่เชื้อโรคจากสัตว์สู่คน
หากพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ ภาวะโลกร้อนและสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงจะขยายขอบเขตของพาหะนำโรค เช่น ยุง เห็บ และหมัด อันส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายของโรคต่างๆ มากขึ้น
นอกจากนี้ สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงยังทำให้ความสามารถในการจัดการกับเชื้อโรคของมนุษย์ลดลงด้วย เช่น เมื่อเกิดความแห้งแล้ง–ขาดแคลนน้ำ ก็อาจนำไปสู่สภาพสุขาพิบาลที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ที่อาจทำให้เกิดโรคอย่างไข้ไทฟอยด์ โรคบิด หรือโรคอื่นๆ ได้เช่นกัน
อ้างอิงจาก
https://www.theguardian.com/environment/2022/aug/08/climate-crisis-study-human-diseases
https://www.theverge.com/2022/8/8/23296943/climate-change-diseases-heat-mosquitoes-zika-covid
https://www.nature.com/articles/s41558-022-01426-1