แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ตัวแทนนักกิจกรรม และนักวิชาการที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร่วมยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี วันนี้ (23 ก.ย. 2565) ที่บริเวณประตู 5 ทำเนียบรัฐบาล เรียกร้องให้ยุติการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และยุติข้อกล่าวหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่เกิดจากการใช้เสรีภาพการแสดงออก
แอมเนสตี้ ประเทศไทย ระบุว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปี ระหว่างเดือน พ.ค. 2563 ถึง ส.ค. 2565 ของการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีอย่างน้อย 1,467 คน ใน 647 คดี ที่ถูกดำเนินคดีตามข้อกล่าวหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากการออกมาใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออก นอกจากนี้ ยังมีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ถูกดำเนินคดี ถึง 241 คน ใน 157 คดี
“การประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินและข้อกำหนดดังกล่าว เป็นการประกาศใช้ข้อบังคับในภาวะฉุกเฉินเกินความจำเป็น และส่งผลกระทบต่อสิทธิในการมีชีวิต เสรีภาพและความมั่นคงของบุคคล สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการสมาคม รวมถึงสิทธิในเสรีภาพการชุมนุมประท้วง และสิทธิมนุษยชนด้านอื่นๆ” แอมเนสตี้ ประเทศไทย แถลง
ในการยื่นหนังสือวันนี้ ชลิตา บัณฑุวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ 1 ในผู้ถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ที่มีการประกาศใช้ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 มันไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรต่อประชาชนเลย ไม่ได้มีผลต่อการช่วยป้องกันหรือควบคุมการแพร่ระบาดของโรคแต่อย่างใด
ชลิตาระบุอีกว่า “โดยสามัญสำนึกของพวกเราทุกคน เราต่างรู้กันดีว่า การประกาศใช้ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มันขัดต่อหลักการพื้นฐานในรัฐธรรมนูญอย่างมาก มันเอื้อต่อการใช้อำนาจอย่างไม่มีขีดจำกัดของรัฐบาล มันสร้างภาระให้กับประชาชน”
ด้าน สมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย กล่าวว่า “พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไปยกเว้นความผิดให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะตำรวจ–ทหาร ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ในการกดขี่ประชาชนของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคนที่ชั่วช้าชนิดหนึ่ง คือการบิดเบือนกฎหมาย เพื่อเอาเปรียบประชาชน”
“ผมจึงคิดว่า เราไม่สามารถเรียกว่าเป็น พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้ จะต้องเรียกว่า พ.ร.ก. ‘ฉกฉวย’ และ ‘ช่วงชิง’” สมยศกล่าว
ทั้งนี้ แอมเนสตี้ ประเทศไทย มีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลในเรื่องการประกาศใช้ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 6 ข้อ ดังนี้
- ยุติการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยคำนึงถึงความจำเป็น ความได้สัดส่วน และความเหมาะสมในการจำกัดหรืองดเว้นการปฏิบัติตามสิทธิที่ได้รับรองในกติกาสากลว่าด้วยสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights– ICCPR)
- อนุญาตเเละคุ้มครองให้บุคคลหรือกลุ่มใดๆ สามารถแสดงความเห็นของตนและสามารถชุมนุมประท้วงโดยสงบได้ในพื้นที่อย่างปลอดภัย รวมถึงรัฐมีหน้าที่ต้องอำนวยความสะดวกให้บุคคลเข้าร่วมการชุมนุมประท้วงโดยสงบ เเละประกันให้บุคคลในสังคมมีโอกาสแสดงความเห็นที่สอดคล้องกับบุคคลอื่นตามสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
- ยุติการดำเนินคดีอาญากับบุคคลใดๆ อันเนื่องมาจากการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ อันเป็นสิทธิที่พึงมีและได้รับการรับรองภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ และตามรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2560
- ดำเนินการให้มั่นใจว่า เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายทุกคนที่มีหน้าที่ควบคุมฝูงชนต่างได้รับการฝึกอบรมอย่างเหมาะสม ทั้งในด้านกลยุทธ์และยุทธวิธีที่สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศรวมทั้งตรวจสอบการละเมิดกฎหมายทั้งภายในประเทศและการละเมิดมาตรฐานสากลอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นกลาง และเป็นอิสระโดยทันที และรับรองว่าผู้กระทำผิดต้องถูกนำมาลงโทษ
- ประกันว่ามาตรการทั้งปวงที่นำมาใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และการเลี่ยงพันธกรณีด้านสิทธิต้องมีเนื้อหาสอดคล้องกับข้อกำหนดในแง่การให้ข้อมูล ความถูกต้องตามกฎหมาย เเละความจำเป็น รวมถึงกำหนดให้มีกลไกตรวจสอบที่เป็นอิสระเพื่อติดตามและรายงานข้อมูลมาตรการที่นำมาใช้
- พิจารณาและปรับปรุงกฎหมายพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ให้สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศและหลักความถูกต้องของกฎหมายเพื่อนำมาประกาศใช้แทน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และรองรับบทบัญญัติที่ต่อต้านวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อประกันความรับผิดและการเยียวยาให้มีประสิทธิภาพ
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก
https://www.amnesty.or.th/latest/news/1039