การประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 ดำเนินเป็นวันที่สองแล้ว ทั่วโลกกำลังจับตาดูว่าพญามังกรจะมีการขยับเขยื้อนสับเปลี่ยนอย่างไร และที่สำคัญ สี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีนจะจัดระเบียบภายในพรรคอย่างไรเพื่อครองตำแหน่งสมัยที่ 3 ต่อไป
The MATTER คุยกับ วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้เขียนหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์จีนหลังเหมา’ ถึงการประชุมครั้งนี้ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหน มีประเด็นไหนน่าจับตามองบ้าง และถ้าเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นจริง จะส่งผลกระทบต่อไทยอย่างไร
#จับตาการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน
วาสนาชี้ว่า ประเด็นที่น่าจับตามองในการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งนี้คือ ตำแหน่งสำคัญในการเมืองจีน โดยจะมีการพูดคุยว่าจะให้ สี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดต่อไปเป็นวาระที่ 3 หรือไม่ (หลังเขาดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2012 และครบสองวาระแล้วตามกฎหมายของจีน) นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาถึงตำแหน่งสำคัญอีก 2 ตำแหน่ง ได้แก่ เลขาธิการพรรคและนายกรัฐมนตรีของจีน ซึ่งแต่เดิมสี จิ้นผิงครองไว้ทั้งหมด
โดยวาสนาเชื่อว่ามีโอกาสเป็นไปได้น้อยมากที่สี จิ้นผิงจะหลุดจากทั้ง 3 ตำแหน่งที่เขานั่งอยู่ ได้แก่ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์, ประธานาธิบดี และประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง โดยเฉพาะในตำแหน่งผู้นำสูงสุด ซึ่งเธอชี้ว่ามีการพูดคุยกันไว้ก่อนแล้ว
“มันมีการคุยกันไปแล้วว่า สี จิ้นผิง จะเป็นประธานาธิบดีต่อไปในวาระที่ 3 แต่การประชุมรอบนี้จะมีการตัดสินใจที่นำไปสู่การยกเครื่องตำแหน่งสำคัญ ได้แก่ เลขาธิการพรรค ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญและมีอิทธิพลมาก รวมถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นของหลี่ เค่อเฉียง และรองนายกฯ อีก 3-4 ตำแหน่ง” วาสนากล่าว
อย่างไรก็ตาม วาสนาเสริมต่อว่าเป็นไปได้น้อยมากที่สี จิ้นผิงจะลงอำนาจ และเป็นไปได้น้อยมากเช่นกันที่เขาจะทำให้ตัวเองมีอำนาจน้อยลง จากการลดตำแหน่งที่ตัวเองถือครองอยู่
“มันเป็นไปได้น้อยมากที่สี จิ้นผิงจะลงจากอำนาจ และคิดว่ามันไม่มีตัวเลือกที่เขาจะอำนาจลดลงเช่นกัน เพราะว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ค่อนข้างจะวิกฤตมาก นโยบายหลายอย่างที่ทำอยู่มันมีปัญหามาก ไม่ได้แก้ปัญหาเศรษฐกิจ และทำให้สภาพเศรษฐกิจรุนแรงขึ้นด้วย” วาสนาหมายถึงเรื่องของมาตรการ Zero COVID ที่ทำให้เศรษฐกิจถดถอยและประชาชนถูกริดรอนเสรีภาพในการเดินทาง รวมถึงการประท้วงที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา
วาสนาระบุถึงอีกประเด็นที่น่าจับตามองต่อเนื่องคือ การกวาดล้างกลุ่มที่เห็นต่างจากเขา และกระชับอำนาจให้ตัวเองกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง ซึ่งเขาเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่งครั้งขึ้นดำรงตำแหน่งสมัยแรก
“ถ้าสี จิ้นผิงจะดำรงตำแหน่งต่อก็อาจจะมีการกวาดล้างหรือสกัดดาวรุ่งกลุ่มที่ไม่จงรักภักดี และสลับเอาคนที่ไว้ใจได้เข้ามาเพิ่มขึ้น เป็นการสลับสับเปลี่ยนที่น่าจับตามอง”
#ความผันผวนทางการเมือง
วาสนามองว่าสถานการณ์ของจีนตอนนี้กำลังวิกฤต เนื่องจากนโยบาย Zero Covid-19 ของสี จิ้นผิงนั่นทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างขึ้นในสังคม อีกทั้งยังไม่สามารถกลับตัวได้ เพราะถ้ายกเลิกนโยบายดังกล่าวจะเท่ากับยอมรับว่านโยบายตัวเองไร้ประสิทธิภาพ และเป็นการทำลายความชอบธรรมของตัวเอง
วาสนาเปรียบเทียบสถานการณ์ของจีนในตอนนี้ว่าเหมือนช่วงปี 1970-1971 หรือปลายยุคปฏิวัติวัฒนธรรมในสมัยเหมา เจ๋อตุง ซึ่งทุกคนในจีนรู้ว่าแล้วว่าการปฏิวัติวัฒนธรรมมีปัญหา แต่ประธานเหมามีอำนาจมากเกินไป ทุกคนจึงทำได้เพียงสงบปากสงบคำรอคอยให้เหมาเสียชีวิตในปี 1976 ถึงค่อยมีการเปลี่ยนแปลง
“สถานการณ์ตอนนี้มันคล้ายๆ กับช่วงครึ่งหลังของการปฏิวัติวัฒนธรรม ทุกคนในจีนรู้แล้วว่านโยบายมันไม่เวิร์คและมีผลเสียมาก แต่มันถลำลึกเสียจนประธานเหมาไม่สามารถบอกว่าผิดพลาดได้ มีทางเดียวคือยืนยันดำเนินนโยบายต่อไป เช่นเดียวกับ สี จิ้นผิงที่ต้องดำเนินนโยบาย Zero Covid ต่อไป เพราะถ้าเปลี่ยนแนวทางแปลว่าเขาผิดพลาด และไม่มีความชอบธรรมที่จะอยู่ต่อไป”
วาสนาอธิบายต่อว่าความไม่มั่นคงทางการเมืองรัฐบาลจีนชุดปัจจุบัน ยังเห็นได้จากข่าวลือเรื่องรัฐประหารช่วยปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา และการประท้วงที่สะพานในกรุงปักกิ่ง ซึ่งถูกนำไปเทียบกับเหตุการณ์ที่ ‘แทงก์แมน’ ที่จตุรัสเทียนอันเหมิน โดยการประท้วงที่สะพานกรุงปักกิ่งได้มีการนำป้ายข้อความเขียนว่า
‘เราต้องการอาหาร ไม่ใช่ตรวจ PCR เราต้องการเสรีภาพ ไม่ใช่ล็อกดาวน์ เราต้องการความเคารพ ไม่ใช่คำโกหก เราต้องการปฏิรูป ไม่ใช่ปฏิวัติวัฒนธรรม เราต้องการเลือกตั้ง ไม่ใช่ผู้นำ เราต้องการเป็นพลเมือง ไม่ใช่ทาส’
ข้อความดังกล่าวยังถูกผลิตซ้ำจากการพ่นสีในห้องน้ำ และยังแพร่กระจายไปในเมืองสำคัญอื่นของจีน เช่น ซีอาน, เซิ่นเจิ้น, เซี่ยงไฮ้ ซึ่งสะท้อนกระแสต่อต้านที่สูงขึ้น
“มันไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ไม่มีกระแสต่อต้านนะ แต่ที่ผ่านมามันถูกเก็บไม่ให้ออกสู่สื่อนานาชาติได้ แต่ที่มันออกมาได้อย่างต่อเนื่อง แสดงว่ามันต้องมีการต่อต้านเป็นจำนวนมากแล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่น่าจับตามอง” วาสนาระบุ
วาสนาย้ำข้อความที่เขียนไว้ในหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์จีนหลังเหมา’ ว่า นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่จตุรัสเทียนอันเหมิน (1989) ความชอบธรรมเดียวของรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนคือการทำให้ “เศรษฐกิจโตอย่างบ้าคลั่ง” แต่ในปัจจุบัน นโยบาย Zero COVID-19 กลับนำไปสู่ปัญหาด้านเศรษฐกิจอื่นๆ อาทิ อสังหาริมทรัพย์, การนำเข้า-ส่งออก, ภาวะจวนเจียนล้มของธนาคารท้องถิ่น ดังนั้น จึงเป็นวิกฤตที่รุนแรงของจีนภายใต้การนำของสี จิ้นผิง
#การเมืองโลกและการเมืองไทย
ถึงแม้ วาสนาเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่สี จิ้นผิงจะดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดต่อเป็นสมัยที่ 3 (และอาจนานกว่านั้น) แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นมาจริง วาสนามองว่ามันจะนำไปสู่ “การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญมาก” ของทั่วโลกและไทย
วาสนาเทียบว่า ถ้าหากสี จิ้นผิงหลุดจากตำแหน่ง การเปลี่ยนแปลงในจีนจะใกล้เคียงกับครั้งประธานเหมาอสัญกรรม ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองครั้งใหญ่ ทั้งในแง่ตัวบุคคลและนโยบาย
อย่างไรก็ตาม วาสนามองว่านี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในระยะ 10 ปีข้างหน้าอยู่แล้ว
“เราคิดว่า (สี จิ้นผิงหลุดจากตำแหน่ง) มันจะใกล้เคียงกับการเปลี่ยนแปลงหลังอสัญกรรมของเหมา คือผู้ปกครองและนโยบายต่างๆ จะมีการปรับครั้งใหญ่ ซึ่งมันจะสร้างความระส่ำระส่ายให้เศรษฐกิจโลก เราคิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว แต่แนวโน้มที่เป็นอยู่เราคิดว่ามันจะเกิดช้า แต่ก็ไม่ช่ามากขนาดนั้น อาจไม่เกิน 10 ปี”
ถ้าหากอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นจริง วาสนามองว่าจะส่งผลสั่นสะเทือนถึงไทยและภูมิภาคอาเซียนแน่นอน ทั้งในแง่การเมืองและเศรษฐกิจ
ในมุมของเศรษฐกิจไทยและโลก วาสนาเปรียบสถานการณ์ตอนนี้ว่าอยู่ระหว่าง “ป่วยเรื้อรังหรือตัดขาทิ้ง” ในแง่เศรษฐกิจโลกซึ่งไทยเองก็หนีผลกระทบไม่พ้น ความถดถอยของเศรษฐกิจจีนซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และยังเป็นเจ้าหนี้คนสำคัญของสหรัฐฯ ย่อมส่งผลไปทั่วโลก และในแง่เศรษฐกิจในไทยเอง ก็ส่งผลกระทบแล้วอย่างที่เห็นในช่วง COVID-19 ที่นักท่องเที่ยวจีนลดลง อย่างไรก็ตาม วาสนามองว่าไทยเองได้ปรับตัวในแง่เศรษฐกิจแล้วจากที่เคยพึ่งพิงจีนมาก ก็เริ่มยืนด้วยตัวเองได้ ทำให้ไทยค่อนข้างมีภูมิต้านทานต่อความผันผวนของเศรษฐกิจจีนบ้างแล้ว
ในด้านการเมือง วาสนาชี้ว่าที่ผ่านมารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่ยึดอำนาจปี 2557 ก็พยายามสร้างความชอบธรรมจากการเป็นมิตรกับจีน และใช้จีนเป็นต้นแบบเพื่อชี้ว่า ไม่จำเป็นต้องมีประชาธิปไตยก็สามารถสำเร็จได้ เธอกล่าวว่า
“ความสัมพันธ์กับจีนมันเป็นตัวสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลเผด็จการของไทย ดังนั้น ถ้าจีนจะมีอันเป็นไประหว่างที่เรายังมีรัฐบาลเผด็จการอยู่ ก็น่าเป็นห่วงว่าพวกเขาจะไหวไหม”
“ถ้าเราเป็นรัฐบาลเผด็จการก็จะรีบหาทางลงด้วยการจัดให้มีเลือกตั้ง เพื่อให้เข้าสู่แนวทางประชาธิปไตย เพราะถ้ารอให้จีนมีปัญหามากๆ อาจจะไม่มีทางลงอีกแล้ว ตอนนี้มีทางลงสวยๆ แล้วก็ควรจะรีบลง” วาสนาทิ้งท้าย
อ้างอิง:
https://workpointtoday.com/china-protest-banner/
https://thestandard.co/5-supreme-leader/
https://www.bbc.com/thai/international-63205225