ยังไม่สายไป? นายกรัฐมนตรีของเนเธอร์แลนด์ กล่าวขอโทษต่อ ‘อดีตทาส’ ในยุคอาณานิคมดัตช์ ที่รัฐเข้าไปมีบทบาทในธุรกิจค้าทาส ส่งผลให้ยังคงมีผู้ได้รับผลกระทบในทางลบจนถึงปัจจุบัน
สุนทรพจน์ที่ประกอบด้วยคำขอโทษอย่างเป็นทางการ ในนามรัฐบาล ของ มาร์ก รูทท์ นายกฯ เนเธอร์แลนด์ นับเป็นการยอมรับของรัฐบาลครั้งสำคัญ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องต่อการใช้แรงงานทาส และการค้าทาสในอดีต
นายกฯ เนเธอร์แลนด์ ระบุว่า เป็นเวลาหลายศตวรรษที่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ถูกละเมิดอย่างน่าเกลียดภายใต้อำนาจรัฐ และตัวแทนของรัฐอำนวยความสะดวก กระตุ้น รักษา และหาประโยชน์จากการค้าทาส โดยที่รัฐบาลภายหลังปี 1863 ล้มเหลวในการยอมรับผลทางลบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“วันนี้ ผมขอโทษ” คือคำขอโทษสั้นๆ เป็นภาษาอังกฤษของนายกฯ รายนี้ ท่ามกลางสุนทรพจน์ที่มีคำขอโทษถึง 4 ภาษา ทั้งภาษาดัตช์ ภาษาอังกฤษ ภาษาปาเปียเมนโต และภาษาซูรินาม
“เป็นเวลาหลายศตวรรษ ที่ในนามของรัฐดัตช์ มนุษย์ถูกทำให้เป็นสินค้า ถูกเอาเปรียบ และถูกทารุณกรรม” มาร์ก รูทท์ กล่าวทั้งยังระบุว่า เขาเองก็เคยคิดผิดว่าบทบาทของเนเธอร์แลนด์ต่อประเด็นนี้เป็น “เรื่องของอดีต”
สำหรับการขอโทษครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งการตอบโต้ต่อรายงานเรื่อง ‘Chains of the Past’ โดย Slavery History Dialogue Group ที่ถูกเผยแพร่ในเดือนกรกฎาคมปี 2021 โดยแนะนำให้รัฐยอมรับ ขอโทษ และฟื้นฟูผลกระทบที่เกิดขึ้นนับแต่อดีต
ย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 17และ 18 เนเธอร์แลนด์ นับเป็นประเทศที่ได้รับผลประโยชน์อย่างมาก จากธุรกิจการเดินเรือค้าขายสินค้า และขนส่งทาสจากแอฟริกาไปยังประเทศต่างๆ ก่อนที่รัฐบาลจะออกกฎหมายยกเลิกระบบการค้าทาสเมื่อปี 1863 และยกเลิกการใช้แรงงานทาสในเวลาต่อมา
ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ ระบุว่า พ่อค้าทาสชาวดัตช์ได้ส่งชาวแอฟริกันกว่าครึ่งล้านไปยังอเมริกา รวมถึงบราซิล และกลุ่มประเทศแคริบเบียน ขณะที่ชาวเอเชียจำนวนมาก ก็ตกเป็นทาสในหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์ ซึ่งก็คือดินแดนอินโดนีเซียในปัจจุบัน
นั่นเป็นเหตุผลให้ กลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนและนักประวัติศาสตร์ เรียกร้องให้รัฐผลักดันแผนฟื้นฟู และจ่ายเงินชดเชย รวมถึงส่งเสริมการให้ความรู้แก่คนรุ่นหลัง ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการสอนในประเด็นดังกล่าวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อ้างอิงจาก