ด้วยความแปรปรวนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลก คงไม่อาจปฏิเสธว่า เทรนด์พลังงานในอนาคตกำลังมุ่งหน้าสู่กลุ่มพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น โดยหนึ่งในพลังงานทางเลือก คือ ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’ (Green Hydrogen) ซึ่งสอดคล้องเป้าหมายของปตท. ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2050
“ธุรกิจไฮโดรเจนถือเป็นพลังงานอีกรูปแบบหนึ่งที่ ปตท. อยู่ระหว่างการศึกษา” เป็นคำยืนยันของ อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ระหว่างนำคณะสื่อมวลชนไทย ศึกษาดูงาน ณ ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 24 – 30 มีนาคม ที่ผ่านมา
อรรถพล ระบุว่า แนวโน้มการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในอนาคต ทั้งถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติจะค่อยๆ ลดลง โดยมีพลังงานแสงอาทิตย์ และลมเข้ามาทดแทน รวมถึงพลังงานทางเลือกอื่น โดยในตอนนี้ปตท. ได้มีการจับมือกับประเทศซาอุดีอาระเบียศึกษาเรื่องพลังงานไฮโดรเจน ควบคู่ไปกับโครงการนำร่องตั้งสถานีเติมเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ที่ใช้ไฮโดรเจน
มุดหมายสำคัญที่หนึ่งของการศึกษาดูงานครั้งนี้ คือ ท่าเรือรอตเตอร์ดัม (Port of Rotterdam) ซึ่งเป็นท่าสำคัญมากของยุโรป ที่มีแนวทางพัฒนาไปสู่การใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น โดยปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีแยกไฮโดรเจนออกจากน้ำมันดิบและก๊าซ รู้จักกันในชื่อว่า ไฮโดรเจนสีเทา (Grey hydrogen) และกำลังเดินหน้านำพลังงานลมมาผลิตเป็นไฮโดรเจนสีเขียว ที่จะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้ความท้าทายของการขนส่งในรูปแอมโมเนีย
นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย เล่าว่า การใช้พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติในการขนส่งสินค้าที่ท่าเรือแห่งนี้ มีความคล้ายคลึงกับโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ที่ปตท. ร่วมลงทุน ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์ของ Net Zero เบื้องต้นคาดว่าจะให้บริการได้ในปี 2025
ไฮโดรเจนสีเขียวคืออะไร? นับเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกที่เป็นพลังงานสะอาดที่เกิดจากกระบวนการแยกโมเลกุลน้ำด้วยไฟฟ้า (Electrolysis) ซึ่งก็จะได้ออกมาเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจน ซึ่งมักนำมาใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ความร้อนค่อนข้างสูง อย่างหลอมโลหะ รวมถึงการผลิตไฟฟ้าร่วมไปกับก๊าซธรรมชาติ
นั่นจึงทำให้ ความท้าทายของตลาดพลังงานไฮโดรเจนสีเขียวยังมีอยู่ไม่น้อย ทั้งเรื่องความต้องการและเทคโนโลยีที่จำกัด ส่งผลให้ต้นทุนราคายังคงสูงอยู่ “หวังว่าภายใน 10 ปี เทคโนโลยีจะสามารถทำให้ราคาถูกลง เพื่อใช้ให้แพร่หลายมากขึ้น” นพดล กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับแผนการลงทุนในกลุ่มธุรกิจใหม่ ตามวิสัยทัศน์ของปตท. นั้นประกอบด้วย กลุ่มพลังงานแห่งอนาคต 4 กลุ่ม คือ พลังงานทดแทน ระบบกักเก็บพลังงาน แบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และไฮโดรเจน นอกจากนี้ยังมีธุรกิจที่ไม่ใช่พลังงาน ได้แก่ ธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต ทั้งยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และอื่นๆ
“ปตท. มีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ใช่ไหมจากธุรกิจใหม่ 30% ในปี 2030 โดยเฉพาะการมุ่งสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยปี 2030 ภาพรวมการผลิตไฟฟ้าปตท. จะมีกำลังการผลิต 20,000 เมกะวัตต์ เป็นผลิตพลังงานทดแทน 12,000 เมกกะวัตต์ เพิ่มจากปัจจุบันที่มีอยู่ 2,700 เมกะวัตต์” นพดล กล่าวทิ้งท้าย