จะเป็นอย่างไร เมื่อกระบวนการยุติธรรมของไทยไม่เห็นอกเห็นใจผู้ถูกกระทำจากความรุนแรงในครอบครัว?
สำหรับผู้ถูกกระทำจากความรุนแรงในครอบครัว การที่พวกเขาเหล่านั้นจะเดินออกมาจากความรุนแรงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
อีกทั้ง เมื่อถึงจุดที่พวกเขาเหล่านั้นสามารถรวบรวมความกล้าเพื่อออกมาเรียกร้องความยุติธรรมแล้ว กระบวนการยุติธรรมเหล่านั้นก็อาจไม่ได้ช่วยเหลือพวกเขา หรือในบางครั้ง กระบวนการนั้นเองนั่นแหละ ที่ทำร้ายพวกเขาซ้ำไปซ้ำมา
แต่ก่อนจะเล่าไปถึงกระบวนการยุติธรรมที่ผู้ถูกกระทำต้องเผชิญ เราขอนิยามคำว่าความรุนแรงในครอบครัว หรือ ‘domestic violence’ กันก่อนว่าคืออะไร?
อาจมีบางคนที่คุ้นชินกับคำว่าความรุนแรงในครอบครัวในความหมายของการทุบตีกันแค่ระหว่างสามี ภรรยา และลูกเท่านั้น
แต่ถ้าอ้างอิงจากคำนิยามของ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว คำว่า ‘ความรุนแรงในครอบครัว’ หมายความว่า การเจตนากระทำอะไรก็ตามที่ส่งผลให้เกิด หรืออาจจะเกิดอันตรายแก่สุขภาพ จิตใจ หรือร่างกายของคนในครอบครัว ซึ่งยังรวมไปถึงการบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำให้คนในครอบครัว ทำ หรือไม่ทำ หรือยอมรับการกระทำอะไรโดยมิชอบด้วย
ส่วนคำว่า ‘บุคคลในครอบครัว’ หมายความว่า คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กิน หรือเคยอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส บุตร บุตรบุญธรรม สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งบุคคลใดๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน
ที่ผ่านมา เรามักเห็นผู้ถูกกระทำจากความรุนแรงในครอบครัวออกมาเรียกร้องผ่านโซเชียลมีเดีย จนหลายคนก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมผู้ถูกกระทำถึงไม่ไปแจ้งความแล้วดำเนินคดีเลยล่ะ ประเทศไทยก็มีกฎหมายเอาผิดได้หนิ ทำไมต้องออกมาแฉด้วย?
อย่างกรณีของ ปอย—พรรธน์ชญมน ธีวสุเจริญ ที่ออกมาโพสต์อ้างว่าโดน บิว—จักรพันธ์ พุทธา นักแสดงจากซีรีส์ ‘คินน์พอร์ช สตอรี่: รักโคตรร้าย สุดท้ายโคตรรัก’ ที่เป็นแฟนเก่าของเธอทำร้าย พร้อมกับแนบรูปเป็นหลักฐาน
จากเรื่องราวของปอย ก็มีบางส่วนที่ออกมาตั้งคำถามว่าทำไมเธอต้องออกมาแฉแฟนเก่าด้วย ทำไมไม่แจ้งความไปตั้งแต่แรกล่ะ ทำไมสุดท้ายปอยถึงออกมาชี้แจงว่า “เรื่องราวทั้งหมดได้จบลงแล้ว โดยปอยกับบิวได้ตกลงกันในศาล” ทั้งยังชี้แจงยอมรับว่าที่เธอเคยบอกว่าถูกบิวทำร้ายนั้น “แท้จริงแล้วเป็นการหยอกล้อกันแรง และอาจมีที่พลั้งเผลอไปบ้าง ปอยนำรูปมาโพสต์เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดดังกล่าวเอง”
รวมไปถึง เมื่อปอยออกมาชี้แจงเช่นนั้น ก็มีคนออกมาให้ความเห็นว่า กรณีของปอยอาจทำให้คนเชื่อผู้ถูกกระทำจากความรุนแรงในครอบครัวน้อยลง แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ยังตั้งคำถามไปถึงระบบกฎหมายของไทยเช่นกัน
“การเป็นเหยื่อในระบบที่มันกดทับผู้หญิงมันยากอยู่แล้ว การที่เหยื่อไม่สู้ต่อไม่ได้ผิดที่เหยื่อ แต่ผิดที่ผู้กระทำความรุนแรง สังคม ระบบกฎหมายที่ไม่ซัพพอร์ตเหยื่อมากพอ” ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งระบุ
ความเห็นดังกล่าวก็สอดคล้องกับข้อมูลที่ว่า ผู้เสียหายในประเทศไทยสามารถฟ้องคดีอาญาได้เอง แต่การเข้าฟ้องร้องจริงๆ น้อยมาก
เช่นเดียวกับข้อมูลจากกรวิไล เทพพันธ์กุลงาม นักวิเคราะห์โครงการยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงจาก UN Women ที่เคยให้ข้อมูลไว้ว่า มีผู้หญิงไทยประสบปัญหาความรุนแรงทางเพศเข้าสู่ระบบสาธารณสุขถึงปีละมากกว่า 10,000 กรณี แต่ในจำนวนนี้ มีเพียงหลักร้อยเท่านั้น ที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และมีเพียงไม่กี่กรณีที่คดีไปถึงชั้นศาล
แล้วทำไมถึงเป็นอย่างนั้นกัน?
1. ผู้ถูกกระทำไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรได้
อย่างที่หลายคนทราบกันดีว่าการดำเนินคดีในศาลเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและต้องใช้เงิน แต่ในบางครั้ง ผู้เสียหายก็มีกำลังทรัพย์น้อย และโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรก็น้อย เพราะนอกจากจะต้องจ้างทนายแล้ว ผู้เสียหายเองก็ยังต้องรวบรวมพยานหลักฐานเองอีกเช่นกัน
2. “ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจําเลยไม่มีความผิด…”
หลักการนี้เป็นหลักการที่มีเพื่อรับรองสิทธิของของคนไทยทุกคน แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นปัญหาของผู้ถูกกระทำในความรุนแรงของครอบครัวเช่นกัน เพราะทำให้ผู้ถูกกระทำต้องเล่าเรื่องเดิมๆ ซ้ำหลายครั้ง ถูกตำรวจถามอย่างละเอียดมากจนดูเหมือนขาดความเห็นอกเห็นใจ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เพียงพอที่ทำให้แน่ใจว่าคนที่ถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทำผิดจริงๆ
จนเมื่อไปถึงขั้นเบิกความในชั้นศาล พวกเขาเหล่านั้นก็จะยังถูกทนายจำเลยซักถามแบบลงทุกรายละเอียดต่อหน้าคนจำนวนมากเพื่อพยายามหักล้างข้อมูลของผู้เสียหาย
รวมไปถึง เมื่อผู้ถูกกระทำตัดสินใจไปแจ้งเหตุหลังเกิดเหตุนานเกินไป ก็จะถูกตั้งคำถามอีกว่า ทำไมไม่มาแจ้งความตั้งแต่เกิดเหตุ
3. เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมไทยไม่ได้ถูกเทรนให้มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้เสียหาย
เมื่อพิจารณาถึงกระบวนการยุติธรรมไทยแล้ว จะพบว่ากระบวนยุติธรรมของไทยตั้งศูนย์กลางอยู่ที่ผู้ต้องหา แต่ไม่เคยสนใจผู้เสียหายเลย ซึ่งในบางครั้งก็ยังมองว่าผู้ถูกกระทำเป็นเพียงวัตถุพยานของคดีเท่านั้น
“เราไม่มีกระบวนการที่ดูแลและเข้าใจผู้ถูกกระทำ (victim friendly procedure) เช่น ถ้ามีผู้หญิงไปแจ้งความ ตำรวจจะถามว่าตรวจร่างกายหรือยัง และชำระร่างกายหรือยัง ถ้าทำแล้ว ผู้หญิงจะถูกถามว่าคุณทำไปทำไม โดยไม่เข้าใจว่าคนถูกข่มขืนมาเขารู้สึกอย่างไร หรือบางคนไปตรวจร่างกายก่อน โรงพยาบาลบอกว่าให้เอาใบส่งตัวจากตำรวจมาก่อน” วันชัย รุจนวงศ์ อดีตอธิบดีอัยการกล่าว
ด้วยกระบวนการทั้งหมดนี้ จึงทำให้ผู้เสียหายรู้สึกไม่เป็นมิตรและรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
4. ผู้ถูกกระทำจะถูกโน้มน้าวให้ไกล่เกลี่ย
ประเด็นนี้ อังคณา นีละไพจิตร ประธานอนุกรรมการด้านสิทธิสตรีเคยให้ข้อมูลไว้ว่า เมื่อเรื่องความรุนแรงในครอบครัวเป็นคดีความก็มักได้รับการไกล่เกลี่ย เพราะถือเป็นความผิดที่ยอมความกันได้
สอดคล้องกับที่ วราภรณ์ แช่มสนิท จากสมาคมเพศวิถีศึกษาเคยกล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวฯ ยังมีปัญหาหลายด้าน ที่สำคัญคือเจตนารมณ์และหลักการของกฎหมายที่ให้น้ำหนักกับการรักษาความสัมพันธ์และการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว มากกว่าที่จะเน้นการคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกกระทำ
กรณีดังกล่าวเห็นได้ชัดมากในมาตรา 15 ที่ระบุว่า “ไม่ว่าการพิจารณาคดีฯ จะได้ดำเนินไปแล้วเพียงใด ก็ให้ศาลพยายามเปรียบเทียบปรับให้คู่ความได้ยอมความกัน โดยมุ่งถึงความสงบสุขและการอยู่ร่วมกันในครอบครัวเป็นสำคัญ”
วราภรณ์ ระบุว่าข้อความนี้ กลายเป็นพิมพ์เขียวในการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐที่มองว่า แม้จะมีการทำร้ายกันในครอบครัว ก็ต้องพยายามรักษาครอบครัวให้เขาอยู่ด้วยกันต่อไปให้ได้ ผู้ถูกกระทำจึงไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างที่ควรจะเป็น
นอกจากนี้ เมื่อเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย ก็ยังเป็นกระบวนการผลิตซ้ำความรุนแรง โดยการส่งตัวผู้ถูกกระทำให้กลับไปอยู่ร่วมกับคนที่ใช้ความรุนแรง “เหมือนกับส่งมีดให้กลับมาทำร้ายอีกครั้ง และในวันข้างหน้าอาจมีเหตุการณ์ที่หนักกว่าเดิม” สุมนทิพย์ จิตสว่าง อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าว
อ้างอิงจาก