กลายเป็นเทรนด์ติดโลกโซเชียล เมื่อช่วงเย็นวันนี้ (19 พฤษภาคม) มีรายงานออกมาว่า พรรคชาติพัฒนากล้าจะมาเข้าร่วมกับพรรคก้าวไกล ทำให้ขั้วรัฐบาลของก้าวไกลมีเสียง 316 เสียงในการจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่ประชาชนจำนวนออกมาแสดงความไม่พอใจอย่างหนัก
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีการแถลงข่าวของ 8 พรรคการเมืองที่จะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคก้าวไกล อันได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเป็นธรรม พรรคพลังสังคมใหม่ พรรคเพื่อไทรวมพลัง
โดยในการแถลงข่าวในวันนั้น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล ระบุว่า จำนวน 313 เสียง เป็นจำนวนที่เพียงพอแล้วในการจัดตั้งรัฐบาล โหวตเลือกนายกฯ และเมื่อนักข่าวถามว่า หากไม่ผ่าน และต้องเลือกใหม่ในรอบที่ 2 จะทำอย่างไร พิธาก็ตอบกลับว่า ไม่มีความกังวล เพราะทางพรรคมีแนวทางที่ชัดเจนแล้ว หากสถานการณ์เปลี่ยนจะทำอย่างไร
การแถลงข่าวในวันนั้น ยังไม่ได้เปิดเผย MOU ในการจัดตั้งรัฐบาลออกมา แต่พรรคก้าวไกลระบุว่า แต่ละพรรคจะร่วมกันเซ็นและเปิด MOU ให้ประชาชนดูในวันที่ 22 พฤษภาคมที่จะถึงนี้
แต่วันนี้ กลับมีอีกสองพรรคเข้ามาเพิ่ม นั่นคือ พรรคใหม่ และพรรคชาติพัฒนากล้า ซึ่ง The MATTER โทรสอบถาม พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ถึงกระแสข่าวนี้ และได้คำตอบยืนยันว่า ทั้งสองพรรคจะมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับก้าวไกลจริง
เมื่อสื่อรายงาน ก็มีกระแสความเห็นจากในโลกออนไลน์มากมาย โดยในทวิตเตอร์ #ชาติพัฒนากล้า ทะยานติดเทรนด์ขึ้นมาภายในไม่กี่ชั่วโมง พร้อมกับ #มีกรณ์ไม่มีกู ที่ติดเทรนด์อันดับ 1 ในทวิตเตอร์เช่นกัน
สาเหตุที่คนจำนวนมากไม่พอใจ เพราะในการโหวตเลือกนายกฯ เมื่อปี 2562 พรรคชาติพัฒนากล้ายกมือโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ทำให้ประชาชนมองว่า พรรคชาติพัฒนากล้าเองก็เป็น ‘นั่งร้านเผด็จการ’ เช่นเดียวกับอีกหลายพรรคที่ร่วมรัฐบาลในยุคของ พล.อ.ประยุทธ์
นอกจากนี้ กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ และอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค ก็เป็นหนึ่งในคนที่เคยร่วมม็อบ กปปส. ซึ่งนำไปสู่การรัฐประหารเมื่อปี 2557อันทำให้ประเทศไทยอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการมายาวนานหลายปี และบุคคลทั้ง 2 นี้ก็ไม่เคยออกมากล่าวขอโทษกับการกระทำของตัวเอง
พรรคชาติพัฒนากล้า เกิดจากการรวมตัวกับพรรคชาติพัฒนาและพรรคกล้า โดยเมื่อปี 2562พรรคชาติพัฒนา ได้นั่งในสภาทั้งสิ้น 3 ที่นั่ง โดยมีเทวัญ ลิปตพัลลภ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และวัชรพล โตมรศักดิ์ สมัคร ป้องวงศ์ (ย้ายจากอนาคตใหม่) เป็น ส.ส.แบบแบ่งเขต
ขณะที่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กับช่อง 3 เมื่อเวลา 20.00 น.ว่า ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรกันแน่ “ผมว่าต้องพูดคุยกัน แสดงว่าเขายอมรับอุดมการณ์ทางการเมืองของเราได้ คงมีการพูดคุยกันแหละว่า โอเค เราปรับกันได้ อย่างในเวทีดีเบต พรรคชาติพัฒนากล้าเขาไม่ได้มีประเด็นอะไรที่ถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง คงจะพิจารณาจากเสถียรภาพของรัฐบาลด้วยส่วนหนึ่ง”
ส่วนความเห็นของประชาชนนั้น จำนวนหนึ่งโพสต์รูปจากพรรคก้าวไกลที่เคยระบุว่า “พรรคก้าวไกลขอยืนยันว่าจะไม่จับมือตั้งรัฐบาลกับทุกพรรคการเมืองที่สืบทอดอำนาจเผด็จการ” พร้อมถามว่า พรรคลืมสิ่งที่เคยกล่าวไว้แล้วเหรอ
“ติ่งส้ม แต่ขอยืนยันหลักการ ว่าถ้าหากพรรคละทิ้งอุดมการณ์ เพื่อกับอีแค่ 2 เสียงนี้ มันจะทำให้ความน่าเชื่อถือของพรรคกับ ปชช ดูแย่ไปเลย ในเมื่อก้าวไกลบอก เป็นพรรคของประชาชน ต้องรับฟังเสียงประชาชน”
อีกทั้ง พริษฐ์ ชิวารักษ์ ก็โพสต์เฟซบุ๊กว่า “ทางพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายดึงเอาพรรคชาติพัฒนากล้ามาร่วมรัฐบาลจริงหรือไม่? และพรรคนี้ก็เคยมีจุดยืนคงกฎหมาย 112 ไว้ด้วยใช่หรือไม่? และแกนนำพรรคนี้ก็เคยเป่านกหวีดมาก่อนใช่หรือไม่? เรื่องนี้พรรคก้าวไกลต้องมีคำตอบที่ชัดเจน จะได้ไม่โดนตีกินหรือเป็นขี้ปากชาวบ้านไปเปล่าๆ”
ขณะเดียวกัน ก็มีส่วนหนึ่งที่มองว่า กรณ์ และอรรถวิชช์ สอบตกการเลือกตั้งในครั้งนี้ โดยพรรคชาติพัฒนากล้า มี ส.ส. 2 คน ประกอบด้วย นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 และประสาท ตันประเสริฐ ว่าที่ ส.ส.เขต จังหวัดนครสวรรค์ จึงยังถือว่ายอมรับได้
อย่างไรก็ดี ก็ยังมีอีกหลายคนที่รอฟังเหตุผลจากพรรคก้าวไกลว่าทำไมต้องดึงพรรคชาติพัฒนากล้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาล และมองว่า การที่รัฐบาลมีคะแนนเสียง 316 เสียง เป็นจำนวนที่มากเกินไป และการทำงานของฝ่ายค้านไร้ประสิทธิภาพ
อ้างอิงจาก