อาการแพ้อาหารนับเป็นหนึ่งในเรื่องที่กระทบชีวิตประจำวันของเราได้อย่างมาก ตั้งแต่ผื่นขึ้นเล็กน้อย ไปจนถึงอาการหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาเร่งด่วน อาจกล่าวได้ว่าในกรณีที่มีอาการแพ้รุนแรง อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลย จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้มีอาการดังกล่าว มักต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษเมื่อกินอาหารที่ไม่ได้ปรุงเอง หรือไปรับประทานที่ร้านอาหาร
อย่างไรก็ตาม ในหลายกรณีอาจเกิด ‘ข้อผิดพลาด’ ในการตรวจสอบส่วนผสมของอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเพราะไม่ทราบว่าในอาหารมีส่วนผสมที่เราแพ้หรือเปล่า หรืออาจไม่ได้สื่อสารกับทางร้านอย่างชัดเจน จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด และเป็นอันตรายต่อผู้ที่แพ้อาหารได้
เมื่อความผิดพลาดดังกล่าวเกิดขึ้น จึงก่อให้เกิดข้อถกเถียงตามมาว่าใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบอาการแพ้อาหารดังกล่าว เป็นผู้รับประทานอาหารเอง หรือเป็นร้านอาหารที่ควรชี้แจงส่วนผสมอย่างละเอียดชัดเจนกันแน่?
แล้วทั้งผู้แพ้อาหารและร้านอาหารจะร่วมมือป้องกันได้อย่างไร?
ในอังกฤษมีแคมเปญ ‘กฎโอเว่น (The Owen’s Law)’ ที่รณรงค์ให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่กำกับร้านอาหาร โดยเรียกร้องให้มีการแสดงข้อมูลภูมิแพ้ในรายการส่วนผสมของอาหารอย่างชัดเจนในทุกเมนู พร้อมกับระบุข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสมของอาหารที่คนอาจไม่ทราบ รวมถึงเตรียมพร้อมฝึกอบรมพนักงานในการปฐมพยาบาล เพื่อช่วยป้องกันการเสียชีวิต
แคมเปญ The Owen’s Law เริ่มต้นจากครอบครัวของโอเว่น แครี่ (Owen Carey) ที่เมื่อปี 2017 เขาได้ไปร้านอาหาร ในกรุงลอนดอน เพื่อฉลองวันเกิดอายุ 18 ปี กับครอบครัว แม้ว่าเขาจะคุ้นเคยกับการตรวจสอบส่วนผสมอาหารเพื่อป้องกันอาการแพ้รุนแรง พร้อมทั้งสอบถามพนักงานเกี่ยวกับส่วนผสมแล้ว แต่กลับเกิดข้อผิดพลาดในการสื่อสารข้อมูล ทำให้เขาเสียชีวิตในเวลาต่อมา
การสูญเสียครั้งนี้ทำให้ครอบครัวของโอเว่นต้องการรณรงค์ไม่ให้มีใครได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวอีก จนนำไปสู่แคมเปญ The Owen’s Law ที่สำนักงานมาตรฐานอาหาร ประเทศอังกฤษ (Food Standards Agency หรือ FSA) ได้ให้การสนับสนุนแคมเปญดังกล่าว เมื่อเดือนมกราคม 2024
แม้ว่าตอนนี้ The Owen’s Law จะเป็นเพียงแนวทางที่ FSA แนะนำกับร้านอาหาร และยังไม่มีข้อกฎหมายเกี่ยวกับการระบุข้อมูลแพ้อาหารในเมนู แต่ในอนาคต การเรียกร้องครั้งนี้ อาจเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จระหว่างผู้แพ้อาหารและครอบครัว กับร้านอาหาร ในการร่วมกันป้องกันไม่ให้ใครได้รับอันตราย หรือต้องสูญเสียสมาชิกครอบครัวจากการแพ้อาหารอีก
อ้างอิงจาก