แอฟริกาใต้กำลังเผชิญกับ ‘ภัยแล้งครั้งประวัติศาสตร์’ สหประชาชาติ (United Nation หรือ UN) รายงานว่าประชาชนกว่า 27 ล้านคนกำลังขาดแคลนอาหาร และมีการประเมินว่าวิกฤตครั้งนี้ อาจสร้างปัญหาความยากจนให้กับบางประเทศ รุนแรงมากกว่าครั้งที่มีการล็อกดาวน์จากโควิด-19
รายงานจากโครงการอาหารโลก (World Food Program หรือ WFP) ซึ่งอยู่ภายใต้ UN ระบุว่าแอฟริกาใต้กำลังประสบกับภัยแล้งครั้งรุนแรงที่สุดในรอบศตวรรษ โดยมีประเทศที่ประกาศ ‘ภัยพิบัติระดับชาติจากภัยแล้ง’ แล้ว ได้แก่ เลโซโท (Lesotho) มาลาวี (Malawi) นามิเบีย (Namibia) แซมเบีย (Zambia) และซิมบับเว (Zimbabwe) อีกทั้งโมซัมบิก (Mozambique) และแองโกลา (Angola) ก็ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งอย่างรุนแรงอีกด้วย
สาเหตุหลักของภัยพิบัติครั้งนี้คือ ปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) ที่ทำให้ทั่วทั้งภูมิภาคมีฝนตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงภาวะโลกเดือด ยังมาซ้ำเติมให้ภัยพิบัติรุนแรงกว่าเดิม เนื่องจากทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น
ทั้งนี้แอฟริกาใต้ถือเป็นภูมิภาคที่ประชากรส่วนใหญ่พึ่งพาการเกษตร ดังนั้นความแห้งแล้งอันต่อเนื่องอย่างยาวนานในฤดูเพาะปลูก ส่งผลให้พืชผลและปศุสัตว์เสียหายเป็นวงกว้าง โดยโลลา คาสโตร (Lola Castro) ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคแอฟริกาใต้ของ WFP กล่าวว่า ผลผลิตทางการเกษตรในแซมเบียเสียหายไปร้อยละ 70 ในขณะที่ซิมบับเวเสียหายไปร้อยละ 80
นอกจากความเสียหายทางการเกษตร การที่ฝนไม่ตกอย่างต่อเนื่อง ยังทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในภูมิภาคลดลง ส่งผลให้ไฟฟ้าดับเป็นเวลานานในหลายพื้นที่ รวมถึงที่ผ่านมา ทั้งซิมบับเวและนามิเบียได้ประกาศกำจัดสัตว์ป่า เพื่อแปรรูปเป็นอาหารประทังชีวิตประชาชน
สำหรับแซมเบีย นับเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากทั่วประเทศพึ่งพาการผลิตไฟฟ้ามากกว่าร้อยละ 80 จากเขื่อนที่ตั้งอยู่บนทะเลสาบคาริบา (Kariba) แต่หลังจากที่เขื่อนดังกล่าวขาดแคลนน้ำ ทำให้โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหยุดทำงานเกือบทั้งหมดเป็นครั้งแรก
ผลก็คือในหลายครั้งชาวแซมเบียมีไฟฟ้าใช้เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน อย่างไรก็ตามหลายพื้นที่ในประเทศ อาจไม่มีไฟฟ้าใช้ติดต่อกันหลายวัน เหตุนี้เองที่ทำให้การใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงธุรกิจต่างๆ ในประเทศต้องหยุดชะงัก จน อาชู ซาการ์ (Ashu Sagar) ประธานสมาคมผู้ผลิตของแซมเบีย (Zambia Association of Manufacturers) กล่าวว่า วิกฤตไฟฟ้าครั้งนี้ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และสร้างความยากจน มากกว่าการล็อกดาวน์ในช่วงการระบาดของโควิด-19
ทั้งนี้ WFP คาดการณ์ว่า ผลของภัยพิบัติครั้งนี้จะลุกลามไปจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวครั้งต่อไป ในเดือนมีนาคมหรือเมษายน 2025 และวิกฤตการณ์กลายเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลให้นานาประเทศ เนื่องจากไม่เพียงแต่สะท้อนว่าคนหลายล้านคนกำลังใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่ยังชี้ให้เห็นถึงอีกหนึ่งผลกระทบจาก ‘ภาวะโลกเดือด’ ที่มีต่อทุกภูมิภาคของโลก และทำให้ภัยพิบัติทางธรรมชาติรุนแรงขึ้นในทุกรูปแบบ
อ้างอิงจาก