องค์กรจัดหายาทำแท้งรายงานว่า ยอดคำขอยาได้พุ่งขึ้นถึง 17 เท่า ภายใน 24 ชั่วโมง หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับนโยบายทำแท้งของทรัมป์ ที่มีต่อผู้หญิง
ไม่นานมานี้ รีเบคก้า กอมเพิร์ตส์ (Rebecca Gomperts) ผู้ก่อตั้ง Aid Access ผู้จัดจำหน่ายยาทำแท้งทางไปรษณีย์อันดับหนึ่งของสหรัฐฯ เล่าว่าได้รับคำขอยาเกี่ยวกับการทำแท้ง ถึง 10,000 รายการ ภายใน 24 ชั่วโมง หลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้งฯ ซึ่งมากกว่าเดิมที่เคยได้วันละ 600 รายการ ซึ่งเธอกล่าวว่า “เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน”
อีกทั้ง จูลี อามอน (Julie Amaon) ผู้อำนวยการบริหาร Just the Pill ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่จ่ายยาทำแท้ง กล่าวว่า “เป็นเรื่องแปลก” ที่ผู้ส่งคำขอยาจำนวน 22 ราย จากคำขอทั้งหมด 125 รายการ (ภายใน 3 วันหลังทราบผลเลือกตั้งฯ) ไม่ได้ตั้งครรภ์ ทั้งนี้เธอเล่าว่าเป็นกรณีที่พบได้ยาก ที่จะมีคนขอรับความช่วยเหลือล่วงหน้าเช่นนี้
นอกจากนี้ Plan C หรือผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าถึงยาทำแท้ง ก็รายงานว่า มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ 82,200 ราย ในวันที่ทราบผลเลือกตั้งฯ ซึ่งปกติมีผู้เข้าชมประมาณ 4,000 หรือ 4,500 รายต่อวัน
ปรากฏการณ์ที่เล่ามานี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เมื่อจุดยืนนโยบายการทำแท้งของทรัมป์ ได้สร้างความกังวลให้ผู้หญิงหลายคน หากย้อนกลับไปดูการแสดงความเห็นในอดีต เราอาจพบว่าทรัมป์เปลี่ยนจุดยืนในประเด็นนี้ ไปมาหลายหน โดยครั้งหนึ่งเขาเคยระบุว่า เขาเป็น “ประธานาธิบดีที่สนับสนุนชีวิต (pro-life) มากที่สุดในประวัติศาสตร์” และกล่าวว่า ผู้หญิงที่ทำแท้งอย่างผิดกฎหมาย ควรได้รับการลงโทษ
อย่างไรก็ตาม เขาก็เคยสัญญาว่าจะยับยั้ง (veto) การห้ามทำแท้งของรัฐบาลกลาง และในบางครั้ง เขาก็กล่าวว่าการตัดสินใจควรขึ้นอยู่กับแต่ละรัฐ ความไม่แน่นอนด้านนโยบายนี้เอง ที่ทำให้หลายคนต้องเตรียมตัว สำหรับการกลับมาของทรัมป์
“ตอนนี้ผู้คนตระหนักรู้มากขึ้น ผู้คนตระหนักถึงความเป็นไปได้ ของยาทำแท้งในอนาคต และตระหนักถึงภัยคุกคาม ที่ยานี้จะถูกถอดออกจากตลาด” กอมเพิร์ตส์กล่าว เพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น
ท่ามกลางข้อถกเถียงเกี่ยวกับการทำแท้งในสหรัฐฯ ปรากฏการณ์นี้ อาจสะท้อนให้เห็น อีกมุมหนึ่งที่ผู้คนต้องการมีอำนาจตัดสินใจในร่างกายของตัวเอง และเตรียมพร้อมต่อความไม่แน่นอน ของนโยบายในอนาคต
อ้างอิงจาก