“ถ้ามีคนไทยเดินมา 3 คน อย่างน้อย 1 ใน 3 คนนี้จะมีหนี้” ระบุไว้ในบทความหนึ่ง บนเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งถ้าพูดให้ชัดมากขึ้น ในจำนวนนั้นมีคน ‘มากกว่าครึ่ง’ ที่มีหนี้มากกว่า 1 แสนบาท โดยตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา หนี้ครัวเรือนของไทยมีสัดส่วนต่อจีดีพีสูงกว่า 80% ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หนี้ครัวเรือนถือเป็นปัญหาที่คู่คนไทยมานาน
ปัญหาที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าคือ ‘หนี้นอกระบบ’ ที่มักตามมาด้วยเงื่อนไขไม่เป็นธรรม ดอกเบี้ยสูง จนถึงการทวงหนี้โหด โดยเมื่อปี 2565 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วยอึ๊งภากรณ์ พบว่าครัวเรือนที่ไปสำรวจ มากกว่า 40% มีหนี้นอกระบบ ตัวเลขนี้สูงจนอาจสร้างคำถามให้หลายคน เกี่ยวกับสถานการณ์หนี้นอกระบบในประเทศไทย
หากอ้างอิงจากงานวิจัยเกี่ยวกับหนี้นอกระบบในประเทศไทย เมื่อปี 2565 ‘Informal Loans in Thailand: Stylized Facts and Empirical Analysis’ โดย Pim Pinitjitsamut และ Wisarut Suwanprasert จะพบว่าจากกลุ่มตัวอย่าง 4,628 ครัวเรือน ในพื้นที่ 12 จังหวัด ในจำนวนนั้น 42.3% มีหนี้นอกระบบ
ผู้วิจัยยังระบุอีกว่า แต่ละคนมีหนี้นอกระบบเฉลี่ย 54,300 บาท โดยเมื่อสำรวจประเภทแหล่งเงินกู้นอกระบบ พบว่าเจ้าหนี้ส่วนมาก คือนายทุนนอกพื้นที่ (31%) แก๊งหมวกกันน็อค (30%) และนายทุนในพื้นที่ (27%) ซึ่งสำหรับนายทุนในพื้นที่และนายทุนนอกพื้นที่ พบว่าคิดดอกเบี้ยเงินกู้โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 10–11% ต่อเดือน ในขณะที่แก๊งหมวกกันน็อคคิดดอกเบี้ย โดยเฉลี่ยที่ 20% ต่อเดือน
หากพิจารณาถึง ‘สาเหตุ’ การกู้เงินนอกระบบ ผู้วิจัยพบว่าหนี้นอกระบบ 46.8% ถูกกู้มาเพื่อใช้จ่ายจำเป็น เช่น ค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่ารักษาพยาบาล และค่าเล่าเรียน และ 41.5% ถูกนำไปลงทุนในการประกอบอาชีพ ในขณะที่ 9.4% ถูกใช้จ่ายหนี้อื่นๆ และ 2.3% ที่ถูกนำมาใช้จ่ายไม่จำเป็น เช่น ซื้อเครื่องประดับ และโทรศัพท์มือถือ
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ หากพิจารณาตามกลุ่มอาชีพที่มีหนี้นอกระบบ ผู้วิจัยพบว่า ลูกหนี้ที่เป็น ‘พ่อค้าแม่ค้า เจ้าของธุรกิจส่วนตัวและเกษตรกร’ มากกว่า 50% กู้เงินเพื่อนำไปใช้จ่ายในการลงทุน ในขณะที่ 70% ของลูกหนี้ ที่เป็น ‘พนักงานเอกชน ลูกจ้าง อาชีพอิสระ และไม่ได้ทำงาน’ กู้เงินเพื่อใช้จ่ายจำเป็น
ข้อมูลข้างต้นอาจทำให้เราเห็นคร่าวๆ แล้วว่าปัญหาหนี้นอกระบบในประเทศไทย มีหน้าตาเป็นอย่างไร คำถามที่สำคัญต่อไปคือ “แล้วปัจจัยอะไรบ้าง ที่ส่งผลให้คนไทยหันไปกู้เงินนอกระบบ?”
อ้างอิงจากบทความวิชาการ ‘สาเหตุการคงอยู่ของหนี้นอกระบบในสังคมไทย’ โดยวิชญาดา ถนอมชาติ, ศิริขวัญ เจริญวิริยะกุล และกฤษดา เชียรวัฒนสุข เราอาจแบ่งปัจจัยที่คนไทยกู้เงินนอกระบบได้ดังนี้
- ระดับรายได้บุคคลและครัวเรือนต่ำ โดยผู้เขียนบทความพบว่า คนกลุ่มนี้มีโอกาสสูงในการกู้ยืมนอกระบบ เพราะรายได้ต่อเดือนไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย อีกทั้งหาพิจารณาสัดส่วนรายได้คนไทย เมื่อปี 2562 จะพบว่า 19% ของครัวเรือนทั้งหมดในประเทศไทยอยู่ ในกลุ่มระดับรายได้ต่ำ เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนไม่เกิน 5,153 บาท ในขณะที่ค่าครองชีพในประเทศก็สูงขึ้น สวนทางกับรายได้
- ขาดคุณสมบัติในการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในระบบ ผู้เขียนระบุว่า ปัญหาดังกล่าวก็มีหลายปัจจัย ทั้งอาจขาดหลักทรัพย์หรือบุคคล ช่วยค้ำประกัน ทั้งรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ขอกู้ได้ รายได้ไม่สม่ำเสมอ จนถึงมีประวัติหนี้เสีย ซึ่งความยุ่งยากและซับซ้อนของการกู้เงินในระบบนี้เอง ที่ทำให้หลายคนหันไปพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ ที่มีขั้นตอนน้อยและง่ายกว่า
- ขาดทักษะด้านการคำนวณดอกเบี้ย นับเป็นอีกหนึ่งสาเหตุ ที่ทำให้ผู้กู้ต้องทนแบกรับดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราที่สูง ซึ่งผู้เขียนระบุว่าในทางปฏิบัติ การคำนวณดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบ อาจมีความซับซ้อน จนเกิดเป็นความสับสน และความเข้าใจผิดว่า เงินกู้นั้นมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าความเป็นจริง
- ขาดการวางแผนทางการเงิน และวินัยทางการเงิน เช่น การไม่เก็บออกสม่ำเสมอ หรือการไม่วางแผนออมเงินก่อนใช้จ่าย ล้วนเป็นปัจจัยที่ผู้เขียนมองว่า จะส่งผลให้คนไทยสร้างหนี้นอกระบบมากขึ้น
- พฤติกรรมใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เป็นอีกหนึ่งตัวเร่งของการสร้างหนี้นอกระบบ เพราะจะยิ่งทำให้ค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ และหากไม่มีแผนการออมเงินที่สม่ำเสมอแล้ว โอกาสในการกู้นอกระบบก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ทั้งนี้บทความนี้ระบุว่า คนไทยหลายคนยังมีพฤติกรรม ‘ติดพนัน’ ซึ่งมักจะหันไปกู้เงินนอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง เมื่อหมุนเงินไม่ทัน
- ทัศนคติทางการเงินด้านการก่อหนี้ โดยผู้เขียนระบุข้อมูลเมื่อปี 2562 จากธนาคารทหารไทย ร่วมกับบริษัท ไวซ์ไซท์ ว่าคนรุ่นใหม่บางกลุ่ม อาจมีทัศนคติที่ก่อให้เกิดการสร้างหนี้ง่าย โดยนำมาใช้ง่ายที่ไม่จำเป็น
นอกจากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น แน่นอนว่าสาเหตุที่คนไทยหันไปกู้เงินนอกระบบนั้นมีสารพัด ทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ทั้งการลงทุนเพื่อการประกอบอาชีพ จนถึงเหตุฉุกเฉิน ที่สร้างภาระให้เราอย่างไม่คาดคิด ดังนั้นเหตุผลของแต่ละคน ล้วนมีความแตกต่าง อย่างไรก็ดีปัญหาหนี้นอกระบบยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในครัวเรือนไทย ดังนั้นนโยบายที่มีประสิทธิภาพ จึงเป็นประเด็นสำคัญสำหรับประเทศไทย
อ้างอิงจาก