เมื่อวานนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2025) ผลการเลือกตั้งทั่วไปในเยอรมนี ปรากฏว่าพรรคอนุรักษนิยม (CDU/CSU) คว้าชัยชนะ ไปด้วยคะแนน 28.52% อันดับรองลงมาคือพรรคขวาจัด (AfD) ที่ได้คะแนนที่ 20.6% ในขณะที่พรรคสังคมประชาธิปไตย (SPD) ได้ 16.4%
การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ที่ 84% ซึ่งถือว่าสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1990 โดยผลคะแนนชี้ว่า ฟรีดริช แมร์ซ (Friedrich Merz) อายุ 69 ปี หัวหน้าพรรค CDU/CSU ซึ่งเป็นพรรคอนุรักษนิยมฝ่ายค้าน จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของเยอรมนี
ด้านพรรคที่ได้คะแนนอันดับสอง หรือพรรคทางเลือกแห่งเยอรมนี (AfD) ที่มีอุดมการณ์ขวาจัด ก็ถือว่าได้คะแนนเพิ่มขึ้น ซึ่งมากกว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาถึง 2 เท่า ในขณะที่พรรคสังคมประชาธิปไตย (SPD) ของโอลาฟ โชลซ์ (Olaf Scholz) นายกฯ คนปัจจุบัน ที่ได้อันดับสาม ถือเป็นผลคะแนนที่ต่ำที่สุดของพรรค นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
สิ่งที่หลายคนจับตาดูต่อไปหลังจากนี้คือการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งแม้ว่าพรรค CDU/CSU จะได้คะแนนนำหน้าพรรคอื่นๆ พอสมควร แต่ก็ยังไม่ถึงส่วนแบ่งคะแนนที่พรรคคาดไว้ ทำให้ในการเจรจาเพื่อจัดตั้งรัฐบาล พรรค CDU/CSU อาจมีอำนาจต่อรองน้อยลง และยังไม่ชัดเจนว่า จะต้องร่วมกับพรรคอื่นอีกกี่พรรค อีกทั้งแมร์ซยังระบุว่า จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรค AfD จนทำให้หลายฝ่ายมองว่า การจัดตั้งรัฐบาลอาจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และความท้าทาย
“คืนนี้เรามาฉลองกัน แล้วตอนเช้าเราจะเริ่มทำงาน” แมร์ซกล่าวหลังจากทราบผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ
หากมีดูกันที่เรื่องนโยบาย แมร์ซเคยสัญญาว่าจะมีนโยบายเข้มงวดเรื่องผู้อพยพ ปรับปรุงเรื่องภาษี และจำกัดกฎระเบียบทางธุรกิจ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของเยอรมนี นอกจากนี้ เขายังได้ให้คำมั่นว่า จะดำเนินนโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าวมากขึ้น เพื่อช่วยเหลือยูเครน พร้อมเสริมสร้างความเป็นผู้นำในยุโรป
“สิ่งสำคัญที่สุด คือการทำให้ยุโรปแข็งแกร่งโดยเร็วที่สุด เพื่อที่เราจะได้ค่อยๆ บรรลุอิสรภาพอย่างแท้จริง จากสหรัฐฯ” แมร์ซกล่าวหลังจากการเลือกตั้งสิ้นสุดลง โดยที่ผ่านมาเขาก็แสดงจุดยืนวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ อย่างชัดเจน ทั้งนี้แมร์ซเคยระบุว่า รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่สนใจชะตากรรมของยุโรปมากนัก
แม้ว่าแมร์ซจะเป็นนักธุรกิจ ที่ไม่เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของรัฐบาลมาก่อน แต่เมื่อเข้ารับตำแหน่ง เขาอาจต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายหลายอย่าง ทั้งเศรษฐกิจอ่อนแอ ปัญหาผู้อพยพ จนถึงการเมืองระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามกันไป ว่าการเมืองเยอรมนีจะเป็นอย่างไรต่อไป
อ้างอิงจาก