ทุกคนเคยได้ยินคำว่า ‘โทรศัพท์โง่ๆ’ กันไหม?
โทรศัพท์โง่ๆ หรือ Dumbphones ชื่อนี้อาจจะฟังดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่มันคือคำจำกัดความอุปกรณ์สื่อสารในอดีตที่ทำได้แค่โทรเข้า-ออก และส่งข้อความ ซึ่งการทำงานไม่ได้ซับซ้อนอะไรนักและถือว่าเป็นการเชื่อมต่อที่เพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานในผู้ใช้บางคน
แม้ว่าเทรนด์ล่าสุดของวัยรุ่นจะพาเราย้อนกลับไปยุค Y2K ทั้งความนิยมจากการแต่งตัว, เกมที่เล่น, ภาพที่ถ่ายและเพลงที่ฟัง แต่คำถามสำคัญคือ ทำไมเทคโนโลยีที่เหมือนจะตายไปแล้วอย่างเช่น โทรศัพท์ที่มีแต่ปุ่มกดและทำอะไรแทบไม่ได้นอกจากโทรเข้า-โทรออก และเล่นเกมงู ถึงกลับมาอีกครั้ง?
เป็นไปได้ไหมว่าอาจเกิดมาจากการไม่ไว้วางใจ AI และโซเชียลมีเดียที่ดูเหมือนจะน่าปวดหัวขึ้นทุกวัน หรือหลายๆ คนกำลังจะหนีจากคำว่า ‘สมองเน่า’ ที่ Oxford เคยยกให้เป็น Word Of The Year 2024 กันนะ?
โทรศัพท์ธรรมดาๆ นี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงทศวรรษ 1980 แต่การค้นหาคำนี้ใน Google เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2022 จนแตะจุดสูงสุดในเดือนมิถุนายนปี 2024 ขณะที่มีรายงานในปี 2024 ด้วยว่า ชาวเจนซี (Gen Z) 28% และชาวมิลเลนเนียน (Millennials) อีก 26% สนใจจะซื้อเจ้าโทรศัพท์โง่ๆ นี้ด้วย
ไม่นานมานี้ CBC Arts ได้สำรวจความคิดเห็นของศิลปินชาวแคนาดาเกี่ยวกับสิ่งที่ทุกคนจะพูดถึงในปี 2025 ซึ่งเจ้าโทรศัพท์โง่ กลายเป็นสิ่งที่พูดถึงอยู่หลายครั้ง และเมื่อถูกถามว่าไอเท็มอะไรที่พวกเขาอยากได้มากที่สุดในปีนี้ ช่างภาพ 2 คนตอบว่า ก็ต้องเป็นโทรศัพท์ที่มีแต่ปุ่มกดสักเครื่องแน่ๆ
ร็อบ มัวลี ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้บริโภคจาก Currys หนึ่งในผู้จำหน่ายโทรศัพท์ชั้นนำทั้งแบบสมาร์ทและแบบอื่นๆ บอกกับ Telegraph ว่า โทรศัพท์แบบเดิมๆ โทรศัพท์ธรรมดา หรือโทรศัพท์ฟีเจอร์โฟนกำลังกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง โดยยอดขายโดยรวมของโทรศัพท์เหล่านี้เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดย Nokia 2660 รุ่นย้อนยุคและ Nokia 105 เพิ่มขึ้น 50% และ 49% เมื่อเทียบเป็นรายปีตามลำดับ
ปัจจุบันวัยรุ่นหลายคนตัดสินใจเลิกใช้สมาร์ทโฟน เพราะเบื่อหน่ายกับการเลื่อนหน้าจอไปมาอย่างไร้จุดหมาย และทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังพลาดโอกาสในชีวิตจริง ขณะที่หลายๆ คนได้ค้นพบว่าพวกเขารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นหลังจากที่เปลี่ยนไปใช้โทรศัพท์โง่ๆ และไม่ต้องเล่นโซเชียลมีเดีย
#โซเชียลมีเดียทำลายความนับถือตัวเอง
รายงานในปี 2024 ของโครงการ Dove’s Self-Esteem Project พบว่า เด็กผู้หญิงอายุ 10-17 ปี 90% ติดตามบัญชีโซเชียลมีเดียอย่างน้อยหนึ่งบัญชีที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่สวย ขณะที่งานวิจัยอีกชิ้นในปี 2023 บอกว่า คนในวัย 16-24 ปี กว่า 1 ใน 7 คน เคยคิดจะจบชีวิตลงเพราะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ๆ บนโซเชียลมีเดีย
แม้ว่าจะมีคำแนะนำเต็มไปหมดบนอินเตอร์เน็ตที่พยายามบอกให้เลิกใส่ใจ เลิกติดตาม หรือแม้กระทั่งจำกัดเวลาในการเล่นโซเชียล แต่กับวัยรุ่นบางกลุ่มเลือกที่จะกำจัดสมาร์ทโฟนจอแก้วเหล่านั้นออกไปเลย
‘เจนน่า’ หนึ่งในวัยรุ่นที่ตัดสินใจเลิกใช้สมาร์ทโฟนและไปซื้อโทรศัพท์โง่ๆ ที่ไม่มีแอปฯ โซเชียลมีเดียและมีฟังก์ชันที่จำกัดมาใช้ จนกระทั่งผ่านไป 6 เดือน เธอรู้สึกว่าตัวเองดูเด็กลงและมีเสน่ห์มากขึ้นจนปัจจุบันเธอมั่นใจจนเลิกแต่งหน้าแล้ว
“โซเชียลมีเดียทำให้ฉันรู้สึกว่าต้องสมบูรณ์แบบและน่าดึงดูดตลอดเวลา” แอชลีย์ วัยรุ่นอีกคนกล่าว โดยเธอเปลี่ยนมาใช้โทรศัพท์ปุ่มกดมาได้เป็นปีแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้เธอใช้เวลาว่างแทบจะทุกนาทีไปกับสมาร์ทโฟน แต่ปัจจุบันเธอใช้เวลาไปกับการสังเกตผู้คนมากมาย และเข้าใจความน่าดึงดูดแบบคนธรรมดาได้มากขึ้น
ตั้งแต่กระแสความงามถูกกำหนดอย่างรวดเร็วบนโซเชียลมีเดีย รวมถึงฟิลเตอร์ที่เข้ามาปฏิวัติวิธีการนำเสนอตัวเราสู่ผู้อื่นบนโลกออนไลน์ การเปิดตัวกล้องหน้าบนสมาร์ทโฟนต่างๆ ทำให้เราได้รู้จักกับการ ‘เซลฟี่’ ที่เพิ่มความกดดันให้เราต้องคอยปรับปรุงตัวเองและดูแลรูปลักษณ์ตัวเองอยู่ตลอดเวลา
นักจิตวิทยา โจลา โจวานี่ ได้ยกทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคมมาเพื่ออธิบายเรื่องนี้ โดยบอกว่า ทฤษฎีนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้คนวัดคุณค่าของตัวเองผ่านการสังเกตผู้อื่นจากการใช้โซเชียลมีเดีย คุณมักจะพบกับตัวตนที่ดีที่สุดของตัวเองผ่านมุมมอง แสง การแต่งหน้า เสื้อผ้า และการตัดต่อที่เหมาะสม
โจวานี่กล่าวว่า การที่ผู้คนเลิกใช้สมาร์ทโฟน เนื่องจากพวกเขากำลังลดการเผชิญหน้ากับมาตรฐานที่ไม่สะท้อนถึงบุคคล ร่างกาย และไลฟสไตล์ปกติทั่วๆ ไป
ในระดับบุคคล เราเห็นได้ชัดๆ แล้วว่า การเลิกใช้สมาร์ทโฟนสามารถทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองขึ้นได้จริง โดยลดโอกาสในการเปรียบเทียบและวิจารณ์ตัวเองลง ในขณะที่ให้เวลาทำกิจกรรมที่ลดความสำคัญของความงามทางกายภาพลง
แน่นอนว่ามาตรฐานความงามเกิดขึ้นมาก่อนที่จะมีสมาร์ทโฟน และมันคงไม่สามารถลบล้างมาตรฐานเหล่านั้นออกไปได้ในเร็วๆ นี้
แต่ใครจะรู้ล่ะ? วันหนึ่งเราอาจจะเบื่อการไถหน้าจออยากชัทดาวน์ตัวเองโดยการออกไปนั่งมองผู้คนตามร้านกาแฟเงียบๆ อ่านหนังสือที่ดองไว้ให้จบ หรือในบางวันการมี ‘โทรศัพท์ธรรมดาๆ’ ที่ทำได้แค่โทรเข้า-โทรออก ส่งข้อความแค่ในเวลาสำคัญอาจจะเป็นสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดก็ได้
อ้างอิงจาก