หลังจากที่ถูกอภิปรายเรื่องชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้แจง และตอบโต้เรื่องนี้ต่อฝ่ายค้านว่า ไม่เคยใช้อำนาจเพื่อเข้าไปแทรกแซงกระบวนการต่างๆ เลย รวมถึงข้อกล่าวหาเรื่องที่ฝ่ายค้านตั้งว่าเป็น ‘การดีลกับปีศาจ’ ก็ไม่เป็นความจริง
นายกฯ ระบุว่า การเดินทางกลับประเทศไทยของอดีตนายกฯ ทักษิณ นั้น คือการตัดสินใจของอดีตนายกฯ เพียงคนเดียว แม้นายกฯ แพทองธาร จะไม่อยากให้พ่อกลับมาต้องติดคุกหรือจำกัดที่ทางใดๆ ก็ตาม แต่อดีตนายกฯ ทักษิณ ก็บอกว่าอยากใช้เวลาที่เหลือกับครอบครัวที่เมืองไทย เพราะชีวิตที่ผ่านมา ก็เติบโตที่ไทยมาโดยตลอด และเป็นห่วงพี่น้องประชาชนอยู่โดยตลอด
ส่วนข้อสังเกตจากฝ่ายค้านที่ว่าอดีตนายกฯ ไม่ได้ป่วยจริงนั้น นายกฯ แพทองธาร ก็ย้ำว่า ข้อกล่าวหานี้ไม่เป็นความจริงเช่นกัน และไม่ทราบเหมือนกันว่าฝ่ายค้านต้องการคำอธิบายแบบไหนกันแน่
“ส่วนเรื่องป่วย ป่วยจริง ป่วยหลอก เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าคุณพ่อมีอาการป่วยต้องรักษาที่รพ.ตำรวจอันนั้นก็เป็นสิ่งที่ชัดเจน ถ้าดิฉันจะบอกท่านว่าคุณพ่อที่อายุ 70 กว่าป่วย ท่านจะเชื่อดิฉันเหรอ? ไม่เชื่อ เพราะฉะนั้นดิฉันก็ไม่ทราบว่าต้องอธิบายแบบไหน ซึ่งเราได้มีการยื่นเรื่องต่อแพทยสภา เชื่อว่าผลจะออกมาในอีกไม่นานนี้ ก็จะหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะยอมรับ”
นายกฯ ระบุด้วยว่า การกล่าวหาว่า มีการใช้อำนาจเข้าไปแทรกแซงกระบวนการต่างๆ นั้น เป็นข้อกล่าวหาที่ดูถูกข้าราชการ เพราะในยุคสมัยนี้สามารถตรวจสอบได้ทุกอย่าง และระบุด้วยว่า ในช่วงเวลาที่อดีตนายกฯ ทักษิณกลับมายังประเทศไทย และอยู่ในโรงพยาบาลนั้น เธอยังไม่ได้เป็นนายกฯ และไม่มีอำนาจในการสั่งข้าราชการหรือสั่งใดๆ
“ดิฉันไม่เคยใช้อำนาจไปแทรกแซงในหน่วยงานไหนๆ เลย อย่าดูถูกข้าราชการไทย อย่าดูถูกระบบกระบวนการราชการไทย บางทีในยุคสมัยนี้แล้ว ทุกอย่างมันตรวจสอบได้” นายกฯ ระบุ
ในช่วงหนึ่ง นายกฯ ได้พูดถึงสิ่งที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ต้องเผชิญอย่างไม่ยุติธรรมมาในอดีต
“ดิฉันเชื่ออย่างยิ่งไม่ว่าลูกคนไหนก็ตามที่เห็นความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อ ที่ผ่านมาเป็นเกือบ 20 ปี ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก และสถานการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาทั้งหมด 20 ปี ในประเทศเรา ทุกท่านต้องทราบดีถึงความยากลำบากที่เรา และพี่น้องประชาชนได้ประสบมาในเรื่องของความอยุติธรรม” แพทองธารกล่าว
“ถ้าจะหาใครสักคนที่เผชิญเรื่องของความไม่ยุติธรรม ดิฉันมั่นใจว่า ดร.ทักษิณ คือหนึ่งในคนท็อปๆ เลยที่ได้รับความไม่ยุติธรรม” แพทองธารกล่าว
“ท่านได้ถูกยึดอำนาจทางการเมือง นอกจากอำนาจทางการเมืองแล้ว ยังถูกอายัดทรัพย์สิน ยึดทรัพย์สิน ลอบสังหาร หลายรอบ ดิฉันอยู่มหาวิทยาลัย ทราบว่าคุณพ่อถูกลอบสังหาร สมัยนั้นเครื่องมือสื่อสารก็ไม่ดีเหมือนสมัยนี้ พอได้ยินมา เด็กอายุ 18-19 คนนึง ที่ทราบว่ามีคนตั้งใจจะสังหาร ก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีหรอกค่ะ แต่วันนั้นเองก็ได้ยินแค่ข่าว จนได้ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อ เป็นเหตุการณ์ที่ต้องลุ้น ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว และเป็นความเจ็บปวดจากครอบครัว และก็ยังถูกผลัดพรากไปไกลจากครอบครัวอยู่เสมอ”
นายกฯ ได้บอกว่า เธอเป็นลูกสาวที่รักพ่อ หรือที่ในต่างประเทศจะเรียกว่า Daddy’s girl แบบ 100%
“ตลอดการอภิปรายท่านสมาชิกเรียกร้องให้ดิฉันลาออก ซึ่งเป็นสิทธิของทุกท่านในสภาอันทรงเกียรติ แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านทำไม่ได้คือลาออกจากการเป็นลูกสาว หรือความเป็นแม่ สิ่งนี้ดิฉันลาออกไม่ได้ ดิฉันก็พร้อมที่จะทำงานให้ทุกกลุ่ม ทุกคน ทุกจังหวัด เพราะว่าดิฉันสวมหมวกนายกฯ ดิฉันทำหน้าที่นี้อย่างเต็มที่ อย่างสุดความสามารถอย่างแน่นอน”
“ขอให้ทุกๆ ท่านดูและพิสูจน์ที่ความสามารถและความตั้งใจในฐานะนายกฯ หากจะวิพากษ์วิจารณ์ขอให้วิจารณ์ในการทำงาน น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสภาแห่งนี้และต่อประเทศของเรา”