จากกรณีที่กองทัพภาคที่ 3 เข้าแจ้งความ ‘พอล แชมเบอร์’ นักวิชาการชาวอเมริกัน ในข้อหา ม.112 ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการการทหารในวาระดังกล่าวมีข้อสังเกตหลายอย่างในการแจ้งความของกองทัพ และนำมาสู่คำถามว่ากองทัพใช้อำนาจอะไรในการฟ้องพอล
กระทั่งวานนี้ (28 เมษายน 2568) ที่กองทัพบก (ทบ.) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกทบ.กล่าวถึงกรณีการประชุมคณะกรรมาธิการการทหาร เมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา โดยได้ติดตามผลการประชุมพบว่ามีรายละเอียดบางอย่างที่ผู้แทนอาจนำเสนอไม่ครบ จึงขอเรียนเพิ่มเติมว่า
- ข้อสงสัยที่ว่ากอ.รมน.ภาค 3 ใช้อำนาจอะไรไปแจ้งความ โดยการแจ้งความร้องทุกข์เมื่อเห็นว่าอาจมีการกระทำเข้าข่ายผิดกฎหมายบ้านเมือง เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนทั่วไปสามารถทำได้ ซึ่งกรณีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 เป็นความผิดต่อแผ่นดิน ใครที่พบเห็นข้อความที่มีลักษณะเข้าข่ายทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดในลักษณะดูหมิ่นสถาบันฯ ก็สามารถแจ้งความได้ โดยผู้ถูกกล่าวหาสามารถพิสูจน์ตัวเองแก้ข้อกล่าวหาได้ตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม
- การดำเนินการต่อกรณี เริ่มจากได้รับแจ้งจากประชาชน กอ.รมน.ภาค 3 จึงตรวจสอบและนำเข้ากระบวนการพิจารณาและพบว่า มีพฤติกรรมใช้ความรู้สึกส่วนตัวตีความและกระจายไปยังบุคคลภายนอก อันมีผลกระทบต่อสถาบันฯ จึงทำหนังสือร้องทุกข์กับพนักงานสืบสวน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน
- สำหรับข้อกังวลเนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาเป็นชาวต่างชาตินั้น กฎหมายของประเทศย่อมสามารถบังคับใช้ได้กับทุกคนที่อยู่ในประเทศนั้นตามหลักสากล ไม่มีประเทศไหนในโลกจะมีข้อยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายให้คนสัญชาติอื่นที่ไม่ใช่สัญชาติตัวเอง ซึ่งหากผู้ถูกแจ้งความคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็สามารถใช้ช่องทางของกฎหมายมาดำเนินการผู้แจ้งความได้
- ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ มีภาพบรรยากาศที่อาจดูน่ากังวล เนื่องด้วยมีบางคนใช้คำพูดในลักษณะดูหมิ่น เสียดสี ผู้เข้าร่วมประชุม เช่น ‘โง่แต่ขยัน ลุแก่อำนาจ ไร้สติปัญญา และขาดทักษะภาษาอังกฤษ’
- กรณีการใช้สรรพนามว่า He ไม่ได้ใช้คำว่า I คณะกมธ.อาจเข้าใจว่าเป็นประเด็นที่ถูกนำไปแจ้งความ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ เพราะข้อมูลที่เป็นประเด็นฟ้องร้องอยู่ในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมไปแล้ว ทำให้ประเด็นที่นำไปถกเถียงวันนั้นอาจไม่ใช่ประเด็นหลักที่ใช้ประกอบการฟ้องร้องครั้งนี้ก็ได้
- กรณีมาตรา 7 พรบ.ความมั่นคงฯ ขอเรียนว่าปกติกลไกนี้มีไว้สำหรับการเสนอจัดทำแผนงานเพื่อใช้บริหารจัดการแก้ไขปัญหาความมั่นคง โดยเฉพาะปัญหาที่มีความยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งกรณีของ พอล แชมเบอร์ เป็นคดีอาญาปกติ ไม่ใช่การเสนอแผนฯ เพื่อจะขออนุมัตินำไปใช้แก้ปัญหาความมั่นคง
ไม่ว่าใครก็สามารถแจ้งความ ม.112 ได้?
เนื่องจากตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 เป็นข้อหาที่อยู่ในหมวดความผิดต่อพระมหากษัตริย์ฯ ซึ่งเป็นความผิดต่อแผ่นดิน ซึ่งใครก็ตามที่พบเห็นการกระทำและนำเรื่องไปแจ้งตำรวจก็สามารถทำได้ ซึ่งเป็นที่เข้าใจว่า ‘ใครก็ฟ้อง ม.112 ได้’ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ทุกคนจะมีอำนาจเอาผิดกับคนอื่นได้
iLaw ระบุว่า ความผิดตาม ม.112 นั้น อยู่ในลักษณะ 1 ความผิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หมวด 1 ความผิดต่อพระมหากษัตริย์ฯ ตามระบบกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนี้ถือเป็นความผิดต่อแผ่นดิน ที่การริเริ่มคดีไม่ต้องอาศัยผู้เสียหายเป็นคนแจ้งความ หากเป็นตำรวจเห็นเอง หรือใครพบเห็นก็สามารถนำเรื่องและหลักฐานไปกล่าวโทษต่อตำรวจที่มีอำนาจหน้าที่ได้
“ซึ่งตำรวจที่รับเรื่องไว้ต้องมีหน้าที่แสวงหาพยานหลักฐานว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริงหรือไม่ การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่ และผู้ที่ถูกกล่าวหากระทำความผิดจริงหรือไม่ ถ้าหากเป็นกรณีที่ไม่มีมูลความผิด ตำรวจก็จะไม่ดำเนินคดีและสั่งไม่ฟ้องเพื่อให้คดีจบไปได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ที่ถูกกล่าวหา นอกจากนี้หากตำรวจตัดสินใจดำเนินคดีและส่งฟ้องคดีต่ออัยการ อัยการก็ยังมีดุลพินิจที่จะพิจารณาว่าคดีมีมูลและมีเหตุควรจะฟ้องคดีต่อศาลหรือไม่อีกชั้นหนึ่ง” iLaw ระบุ
อย่างไรก็ตาม ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ติดตามนับตั้งแต่เริ่มมีการเผยแพร่รายชื่อผู้ถูกดำเนินคดี ม.112 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 พบว่า มีผู้ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกและการชุมนุมทางการเมืองในข้อหาตาม ม.112 แล้วอย่างน้อย 279 คนใน 312 คดี (ข้อมูลจนถึงวันที่ 8 เมษายน 2568)
อ้างอิงจาก