เมื่อคืนวันจันทร์ (28 เมษายน 2568) ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น สเปน, โปรตุเกส และบางพื้นที่ในฝรั่งเศสตกอยู่ในความมืดมิดจากเหตุไฟดับครั้งใหญ่ที่กินเวลากว่า 11 ชั่วโมง สร้างความโกลาหลไปทั่วประเทศ และทำให้ 2 ประเทศต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
ความโกลาหลเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่ บริษัท Redes Energéticas Nacionais (REN) ซึ่งเป็นผู้ควบคุมระบบไฟฟ้าของโปรตุเกส เปิดเผยว่า ไฟฟ้าทั่วทั้งคาบสมุทรไอบีเรียและบางส่วนของฝรั่งเศสดับ ในช่วงบ่ายของวัน (ตามเวลาท้องถิ่น) หลังจากนั้นหลายชั่วโมงต่อมา นายกรัฐมนตรี เปโดร ซานเชซ ของสเปน บอกว่า ทางการยังไม่แน่ใจว่าอะไรคือสาเหตุของไฟฟ้าดับ
เมื่อไฟดับ ระบบรถไฟใต้ดินก็ต้องหยุดทำงานกระทันหัน หลายคนติดอยู่ในขบวน เช่นเดียวกับการจราจรบนท้องถนนเองก็ติดขัดเช่นกัน เนื่องจากไฟจราจรดับ แน่นอนว่าผลกระทบที่ตามมาร้ายแรงมาก โดยศูนย์กลางการขนส่งถูกปิด
ท่ามกลางความมืดมิด ประชากรหลายล้านคนใช้โทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต และถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็มไม่ได้ ขณะที่ชาวเมืองบาร์เซโลน่ารายหนึ่ง บอกกับ AP ขณะเห็นคนจำนวนมากรอขึ้นรถบัส แม้ว่าจะไม่มีที่ว่างเหลือพอสำหรับพวกเขาเหล่านั้น “ฉันไม่รู้ว่าจะกลับบ้านยังไง”
นายกฯ มาดริด โฆเซ หลุยส์ มาร์ติเนซ อัลเมดา ได้ขอให้ประชาชนลดการเคลื่อนไหว และขอให้โทรเรียกรถพยาบาลเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น นอกจากนี้ยังขอให้ประชาชน เคลียร์ถนนเพื่อให้เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินเข้าพื้นที่ได้ กระทั่งในเวลาต่อมาได้มีการขอให้รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติ
จากนั้น รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ ได้จัดการประชุมฉุกเฉินอย่างเร่งด่วนเพื่อประสานงานในการตอบสนอง จนกระทั่งกระทรวงมหาไทยของสเปนประกาศภาวะฉุกเฉินในหลายแคว้น เช่น อันตาลูเซีย และมาดริด
อันโตนิโอ คอสตา ประธานสภายุโรป กล่าวว่า ไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการโจมตีทางไซเบอร์ แต่ก็เตือนว่าสาเหตุที่แท้จริงยังคงไม่ชัดเจน ด้านนายกรัฐมนตรี หลุยส์ มอนเตเนโกร ของโปรตุเกส กล่าวโทษประเทศเพื่อนบ้านว่าเป็นต้นเหตุของไฟดับ แม้ว่ารัฐบาลจะยังไม่ทราบว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ แต่ไม่ได้มาจากโปรตุเกส
สาเหตุมาจากอะไรกันแน่?
The Guardian รายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจาก REN โปรตุเกส ที่ระบุว่า เนื่องจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงภายในสเปน ทำให้เกิดการสั่นผิดปกติในสายส่งไฟฟ้าแรงสูง (400 กิโลโวลต์) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘การสั่นของบรรยากาศที่เหนี่ยวนำ’ การสั่นเหล่านี้ทำให้ระบบไฟฟ้าทำงานล้มเหลว ส่งผลให้เกิดการรบกวนต่อเนื่องในเครือข่ายที่เชื่อมต่อกันในยุโรป
ขณะที่ จอร์จ แซกแมนน์ นักวิจัยอาวุโสจาก Bruegel สถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในกรุงบรัสเซลส์ กล่าวว่า ระบบดังกล่าวประสบปัญหาการตัดการเชื่อมต่อแบบต่อเนื่องของโรงไฟฟ้า รวมถึงโรงไฟฟ้าแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง พารามิเตอร์ของตัวนำจึงเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ทำให้เกิดความไม่สมดุลในความถี่
สเปนกำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านพลังงานสีเขียว เนื่องจากมีทั้งแสงแดดและลม ปีที่แล้วเป็นช่วงที่มีสถิติการผลิตพลังงานหมุนเวียนสูงที่สุด ซึ่งคิดเป็น 56% ของไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมด ภายในปี 2030 สัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 81%
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะช่วยให้สเปนยุติการพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความท้าทาย เนื่องจากระบบไฟฟ้าแห่งชาติทุกแห่งในโลกจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการอัพเกรดระบบจำหน่ายเพื่อเชื่อมต่อการผลิตพลังงานหมุนเวียนที่กระจัดกระจายและมีความสมดุล
ทาโก้ แองเจลลาร์ กรรมการผู้จัดการของ Neara ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์แก่บริษัทสาธารณูปโภคด้านพลังงาน บอกว่า การเชื่อมต่อระหว่างประเทศมีความสำคัญต่อการแบ่งปันพลังงานสะอาดก็จริง แต่ก็เป็นช่องทางใหม่ที่กระจายความล้มเหลวได้อย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง แต่ในอดีตเองก็เคยมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นเหมือนกัน โดยในปี 2003 มีปัญหาเกี่ยวกับสายส่งไฟฟ้าพลังน้ำระหว่างอิตาลีและสวิตเซอร์แลนด์ทำให้ไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างทั่วอิตาลีเป็นเวลาประมาณ 12 ชั่วโมง และในปี 2006 ไฟฟ้าเกินกำลังในเยอรมนีทำให้ไฟฟ้าดับไปไกลถึงโปรตุเกสและโมร็อกโก
เหตุการณ์ไฟฟ้าดับยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งในช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้มีการค่อยๆ จ่ายไฟคืนสู่พื้นที่ต่างๆ ทั้ง 2 ประเทศ และปัจจุบันจ่ายไฟไปได้กว่า 87% แล้ว ขณะที่มีวิดีโอที่เผยแพร่บนโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็นภาพมุมสูงที่เห็นตึกจากที่ไกลๆ มีไฟติดขึ้นมาตามห้องต่างๆ พร้อมกับเสียงโห่ร้องดีใจของผู้คนมากมาย
อ้างอิงจาก