ไม่นานมานี้ Call Aviation to Action ซึ่งเป็นกลุ่มกิจกรรมขับเคลื่อนสิ่งแวดล้อม ที่เกิดจากการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญด้านการบิน ได้ออกมาพูดว่า อุตสาหกรรมการบินกำลัง “ล้มเหลวอย่างมาก” ในการปรับตัวกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
ขณะที่สำนักข่าว The Guardian ก็ระบุว่า “การบินทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อไมล์ มากกว่ารูปแบบการขนส่งอื่นๆ และผู้โดยสารส่วนใหญ่มักเป็นคนร่ำรวย ซึ่งประชากรเพียง 1% ของโลก มีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการบินถึง 50%”
ส่วนกลุ่มวิจัยที่อิสระ Climate Action Tracker ก็เคยจัดอันดับ ‘แผนการจัดการด้านสภาพอากาศ’ ของอุตสาหกรรมการบิน ไว้ที่ระดับ “ไม่เพียงพออย่างยิ่ง”
ท่ามกลางวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ Call Aviation to Action พูดถึงปัญหาของอุตสาหกรรมการบินว่า วงการนี้มองโลกในแง่ดีเกินไป เกี่ยวกับเทคโนโลยีลดการปล่อยมลพิษ และยังติดอยู่ในรูปแบบธุรกิจ ที่ต้องการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินให้มากขึ้นเรื่อยๆ โดย Call Aviation to Action คาดว่าจำนวนผู้โดยสารเครื่องบินพาณิชย์จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2042
กลุ่มนี้ชี้ว่า หากอุตสาหกรรมการบินยังคงขาดการจัดการปัญหาที่ชัดเจน อุตสาหกรรมนี้อาจมีความเสี่ยงที่จะถูกทำลาย เพราะเมื่อถึงเวลานั้นกฎเกณฑ์จากภายนอก ในการบรรเทาวิกฤตสภาพอากาศ จะเข้มงวดมากขึ้นจนกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินในที่สุด
ดังนั้นข้อเรียกร้องหลักของ Call Aviation to Action คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งรวมถึงการควบคุมจำนวนเที่ยวบินด้วย โดยกลุ่มดังกล่าวเพิ่งก่อตัวขึ้นมา จากผู้เชี่ยวชาญด้านการบินหลากหลายสาขา ที่มีความหลงใหลในอุตสาหกรรมการบิน และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะเห็นโลกใบนี้เติบโตอย่างยั่งยืน
อีกหนึ่งความยากของอุตสาหกรรมนี้คือ การควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการบิน มักไม่รวมอยู่ในแผนระดับชาติที่ประเทศต่างๆ ส่งไปยังหน่วยงานด้านสภาพอากาศของสหประชาชาติ เพราะการปล่อยมลพิษรูปแบบนี้จะกระจายไปทั่วโลก เหมือนๆ กับการปล่อยมลพิษจากการเดินเรือ จึงไม่สามารถระบุชัดเจนได้ว่า เป็นความรับผิดชอบของประเทศใดประเทศหนึ่ง
ดังนั้นในปัจจุบัน องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization หรือ ICAO) เป็นหน่วยงานหนึ่งของสหประชาชาติ ที่รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการบิน
“ในความเห็นของผม ICAO ล้มเหลวอย่างมากในความรับผิดชอบดังกล่าว” Karel Bockstael ผู้ก่อตั้งร่วมของกลุ่ม Call Aviation to Action และอดีตรองประธานฝ่ายความยั่งยืนของ KLM Royal Dutch Airlines กล่าวว่า สิ่งเดียวที่ ICAO เสนอขึ้นมาหลังจากหารือกันมาเป็นเวลา 8 ปีก็คือโครงการ CORSIA
Bockstael ระบุว่าโครงการนี้ “ไม่มีอะไรมากไปกว่าการชดเชยคาร์บอน สำหรับอุตสาหกรรมการบินที่โตเกินเกณฑ์ ด้วยการส่งออกปัญหาของคุณไปยังอุตสาหกรรมอื่น” ทั้งนี้โครงการ CORSIA ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ไม่มีความทะเยอทะยานและมีปัญหา” และยังไม่ได้กำหนดว่าสายการบินใดต้องใช้เครดิตคาร์บอน
“หากเราไม่ดำเนินการใดๆ ภายในปี 2050 การปล่อยมลพิษจากการบินจะเท่ากับ ประมาณ 1 ใน 4 ของการปล่อยมลพิษทั้งหมดที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่น่าละอายมาก” Bockstael ระบุ
เขากล่าวอีกว่า “เราชื่นชอบความมหัศจรรย์ของการบิน แต่เราคาดการณ์ว่ามันจะถูกทำลายลง” Call Aviation to Action จึงหวังว่าความคิดริเริ่มของกลุ่ม จะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินจำนวนมาก กล้าที่จะพูดออกมา เพราะพวกเขาเป็นคนส่วนใหญ่ที่ยังเงียบอยู่
“เราต้องทำลายความเงียบนั้น และสนับสนุนให้ผู้นำในอุตสาหกรรมของเรา เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้” Bockstael กล่าว
อ้างอิงจาก