สถานการณ์ระหว่างอินเดียและปากีสถานยังคงตึงเครียด หลังจากที่วานนี้อินเดียได้เปิด ‘ปฏิบัติการซินดูร์’ โดยกำหนดเป้าหมายไปที่ ‘โครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มก่อการร้าย’ ซึ่งขีปนาวุธของอินเดียได้ทำลายมัสยิดและสังหารพลเรือน ขณะที่ปากีสถานระบุว่า การกระทำของอินเดียนั้น เป็น ‘การกระทำของสงคราม’ ที่ชัดเจน
ล่าสุด ยังคงมีรายงานการยิงปืนใหญ่ตอบโต้กันไป-มาระหว่าง 2 ประเทศ และอินเดียได้รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตในแคชเมียร์ (ส่วนที่ปกครองโดยอินเดีย) อย่างน้อย 13 รายแล้ว ขณะที่นายกรัฐมนตรีของปากีสถาน เชห์บาซ ชารีฟ กล่าวว่า ‘จะล้างแค้นให้แก่เลือดของผู้บริสุทธิ์’ หลังจากมีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 31 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบรายจากการโจมตีของอินเดีย ทั้งในเมืองปัญจาบ และแคชเมียร์ (ส่วนที่ปกครองโดยปากีสถาน)
ความโกรธแค้นที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากเหตุการณ์ก่อกลุ่มการร้ายที่โจมตีนักท่องเที่ยวในแคชเมียร์ (ส่วนที่ปกครองโดยอินเดีย) เมื่อเดือนที่แล้ว จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดเป็นความตึงเครียดของทั้ง 2 ประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านกัน ด้านอินเดียระบุว่า มีหลักฐานชัดเจนที่เชื่อมโยงกับผู้ก่อการร้ายในปากีสถานและบุคคลภายนอก กับการโจมตีในครั้งนี้ ซึ่งปากีสถานปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง โดยบอกว่าอินเดียเองก็ยังไม่ได้แสดงหลักฐานใดๆ ตามข้อกล่าวอ้าง
#ชาวอินเดียมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการโจมตีดังกล่าว?
ปฏิกิริยาของประชาชนต่อการโจมตีข้ามพรมแดนในอินเดียเป็นไปในเชิงบวกอย่างล้นหลาม โดยแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยคำยกย่องกองทหารอินเดีย และนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี
ขณะที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านของอินเดียเอง ก็สนับสนุนปฏิบัติการซินดูร์นี้ด้วยเช่นกัน นายพลไซเอ็ด อาตา ฮัสเนน อดีตนายพลกองทัพอินเดีย กล่าวกับ DW ว่า หลายคนคิดว่านายกฯ โมดี จะตกอยู่ใต้แรงกดดันของสหรัฐฯ ให้สนใจแค่เรื่องเศรษฐกิจเพียงเท่านั้น แต่มันเห็นได้ชัดแล้วว่านี่เป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญและสะท้อนถึงตัวตนของเขา และการกระทำนี้ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง
#ความกลัวความรุนแรงจะทวีคูณขึ้น
การโจมตีของอินเดียไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริเวณแคชเมียร์ที่ยังคงเป็นข้อพิพาทเท่านั้น แต่ยังโจมตีพื้นที่ลึกเข้าไปในดินแดนของปากีสถานด้วย ซึ่งอินเดียเคยกระทำการลักษณะเดียวกันนี้แล้วเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา และทำให้มีผู้เสียชีวิต 40 ราย
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ขอบเขตและความรุนแรงครั้งล่าสุดนั้นยิ่งกว่าการโจมตีในปี 2019 พลโท ดีเอสฮูดา อดีตผู้บัญชาการทหารระดับสูงของกองทัพอินเดีย กล่าวว่า ปากีสถานมีแนวโน้มที่จะตอบโต้สูง ซึ่งเรื่องนี้จะถูกนำมาพิจารณาในแผนของรัฐบาลอินเดีย การจัดการกับความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นจะกลายเป็นความท้าทายต่อไป ซึ่งตัวเขาไม่คิดว่าทั้งสองประเทศต้องการความขัดแย้งเต็มรูปแบบ
เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากหน่วยงานด้านการป้องกันประเทศของอินเดีย กล่าวกับ DW ว่า การโจมตีดังกล่าวได้รับการปรับเทียบเพื่อลดความเสี่ยงของสงครามเต็มรูปแบบ ซึ่ง อาเจย์ บิซาเรีย อดีตทูตอินเดียประจำปากีสถาน เห็นด้วยกับมุมมองนี้ เนื่องจากการกระทำของอินเดียมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างการยับยั้ง โดยกำหนดเป้าหมายที่ศูนย์กลางการก่อการร้ายที่เราต่างทราบกันดี
“การตอบสนองของปากีสถานจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ความท้าทายจึงอยู่ที่การจัดการกับระดับความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในขั้นต่อไป” บิซาเรีย กล่าวเสริม
ขณะที่ผู้นำในหลายประเทศทั่วโลกได้เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหลีกเลี่ยงการเพิ่มความรุนแรง และใช้ความยับยั้งชั่งใจ ซึ่งนักวิเคราะห์อาวุโสของ International Crisis Group กล่าวว่า มีเพียงการทูตและการกดดันระหว่างประเทศเท่านั้นที่จะคลี่คลายสถานการณ์ไม่ให้บานปลายกลายเป็นการโจมตีตอบโต้
ก็ยังคงเป็นสถานการณ์ที่เราจะต้องจับตากันต่อไปว่าทั้ง 2 ประเทศจะดำเนินการกับความขัดแย้งนี้ได้อย่างไร รวมทั้งเสียงเรียกร้องจากประเทศทั่วโลกที่ขอให้ยับยั้งชั่งใจจะช่วยให้ทั้ง 2 ประเทศได้หาทางเจรจาเพื่อยุติความรุนแรงได้หรือไม่
อ้างอิงจาก