“กลับบ้านไปซะ!” คือเสียงตะโกนของผู้ประท้วงบางคน ต่อนักท่องเที่ยวในบาร์เซโลนา หลังมีการประท้วงถึงปัญหาค้างคาเรื่อง ‘นักท่องเที่ยวล้นเมือง’ (Overtourism) มาระยะหนึ่งแล้ว
ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เมืองท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่งในยุโรปใต้ ทั้งบาร์เซโลนา ลิสบอน และเวนิส มีชาวบ้านหลายร้อยคนออกมาเดินขบวนเรียกร้องให้มีการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวและแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา
การประท้วงที่บาร์เซโลนาได้ทวีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น เมื่อกลุ่มผู้ประท้วงที่เดินขบวนผ่านใจกลางเมือง ตะโกนใส่นักท่องเที่ยวที่กำลังถ่ายรูปว่า “กลับบ้านไปซะ!” และบางกลุ่มถึงกับใช้ปืนฉีดน้ำพลาสติกฉีดใส่นักท่องเที่ยวที่กำลังนั่งสบายๆ ในร้านกาแฟ พร้อมแปะสติกเกอร์ตามร้านค้าหรูหรา ที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยว
ในขบวนประท้วง มีการชูป้ายประท้วงต่างๆ ที่มีข้อความที่สะท้อนถึงความรู้สึกของชาวบ้าน เช่น “AirBnB ของคุณเคยเป็นบ้านของฉัน” และ “นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นหนึ่งคน เพื่อนบ้านลดลงหนึ่งคน“
ประเด็นหลักที่จุดชนวนให้เกิดการประท้วง คือผลกระทบที่รุนแรงจากปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง ที่ทำให้ค่าครองชีพและที่อยู่อาศัยของคนในท้องถิ่นสูงขึ้น
บาร์เซโลนา มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 15 ล้านคนในปี 2023 หรือเกือบ 10 เท่าของจำนวนประชากรในท้องถิ่น ทำให้ยิ่งมีปัญหาค่าเช่าที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีรายงานว่าค่าเช่าในบาร์เซโลนาเพิ่มขึ้นถึง 68% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
มารีน่า หนึ่งในผู้จัดงานและผู้ประท้วง กล่าวถึงสถานการณ์นี้ว่า “เราไม่สามารถอาศัยอยู่ในเมืองนี้ได้ ค่าเช่าสูงลิบลิ่วเพราะ BnBs และชาวต่างชาติที่มาอาศัยอยู่ที่นี่เพราะสภาพอากาศ” เธอยังเสริมว่าเป้าหมายของการประท้วงไม่ใช่การหยุดการท่องเที่ยวโดยสิ้นเชิง แต่ “เพื่อให้มันอยู่ในอัตราที่ปกติ”
ไม่เพียงแต่คนหนุ่มสาวเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ ปิปิ วิอู (Pepi Viu) วัย 80 ปี ถูกไล่ออกจากบ้านที่เธออาศัยมาเกือบ 10 ปี เพราะเจ้าของต้องการค่าเช่าที่สูงขึ้น เธอกล่าวว่า “มีแต่ห้องพักสำหรับนักท่องเที่ยวแล้วตอนนี้ แต่พวกเราที่เป็นผู้อยู่อาศัย ก็ต้องการที่อยู่อาศัยเหมือนกัน” และเสริมว่าเธอไม่ได้รับความช่วยเหลืออะไรเลย
นอกจากเรื่องค่าเช่าที่อยู่อาศัยแล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ของเมืองให้กลายเป็นเหมือน ‘สวนสนุก’ สำหรับนักท่องเที่ยว
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้การประท้วงครั้งนี้ถูกพูดถึง คือการใช้ปืนฉีดน้ำพลาสติกราคาถูก เป็นสัญลักษณ์ในการต่อต้าน
อดริอานา โคเทน (Adriana Coten) หนึ่งในผู้จัดงาน Neighborhood Assembly for Tourism Degrowth อธิบายว่า ปรากฏการณ์นี้เริ่มต้นเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ที่กลุ่มนักกิจกรรมนำปืนฉีดน้ำมาใช้เพื่อคลายร้อน แต่เมื่อภาพการฉีดน้ำใส่นักท่องเที่ยวแพร่กระจายไปทั่วโลก มันก็กลายเป็นว่ส ทำให้การเคลื่อนไหวต่อต้านการท่องเที่ยวเป็นที่รู้จักมากขึ้น
ผู้ประท้วงส่วนใหญ่จะใช้ปืนฉีดน้ำฉีดขึ้นฟ้า หรือฉีดใส่กันเองเพื่อความสนุก แต่บางส่วนก็เล็งไปที่นักท่องเที่ยวโดยตรง
การกระทำนี้ ก็ก่อให้เกิดความตึงเครียดขึ้นบ้าง เมื่อผู้ประท้วงบางคนฉีดน้ำใส่พนักงานที่โฮสเทลขนาดใหญ่ ก็มีปากเสียงกันเกิดขึ้น
โนรา ไช่ (Nora Tsai) นักท่องเที่ยวจากไต้หวันซึ่งถูกฉีดน้ำ กล่าวว่าเธอรู้สึกตกใจและเสียใจเล็กน้อย แต่ยังคงชอบบาร์เซโลนา และบอกว่า เธอเจอกับคนใจดีมากมายที่นี่
เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากการประท้วง ทางการบาร์เซโลนาได้ประกาศมาตรการห้ามการเช่าอพาร์ตเมนต์ระยะสั้นสำหรับนักท่องเที่ยวโดยสิ้นเชิงตั้งแต่ปี 2028 เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลให้เจ้าของที่ดิน 10,000 รายต้องสูญเสียใบอนุญาต ซึ่งแน่นอนว่าทำให้เจ้าของห้องพักส่วนหนึ่งไม่พอใจ พร้อมคำเตือนถึงวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจตามมา
นอกเหนือจากบาร์เซโลนาแล้ว เมืองอื่นๆ ทั่วโลกก็เริ่มหามาตรการในการควบคุมการท่องเที่ยวที่มากเกินไปเช่นกัน เช่น ญี่ปุ่นได้ติดตั้งจอขนาดยักษ์เพื่อบดบังทัศนียภาพของภูเขาไฟฟูจิเพื่อลดความแออัด กรีซเริ่มออกตั๋วแบบระบุเวลาเข้าชมอะโครโพลิสในกรุงเอเธนส์ และเวนิสเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าชมสำหรับผู้เยี่ยมชมแบบไปเช้าเย็นกลับในช่วงเวลาที่มีการจราจรหนาแน่น
การประท้วงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว กับคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น แม้จะยังไม่มีข้อสรุปว่าแนวทางใดจะดีที่สุด แต่ก็สะท้อนว่า ปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมืองนี้ อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนในยุโรปใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสเปนคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนมากกว่าที่เคยในช่วงฤดูร้อนนี้
อ้างอิงจาก
https://www.washingtonpost.com