เมื่อ 29 กันยายน ที่ผ่านมา รัฐบาลอนุทินแถลงนโยบาย 5 ด้าน 15 ข้อ ต่อรัฐสภา หนึ่งในประเด็นที่น่าจับตา คือการประกาศเดินหน้าประชามติใหญ่ 2 เรื่อง ‘รัฐธรรมนูญใหม่’ และ ‘MOU ไทย-กัมพูชา’ คำถามคือ ทำไม 2 ประเด็นนี้ถึงถูกหยิบยก? ที่มาที่ไปคืออะไร? และจะนำไปสู่อะไรต่อ?
อนุทิน แถลงเกี่ยวกับการทำประชามติว่า “รัฐบาลนี้สนับสนุนการจัดทำประชามติและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยฟังเสียงของพี่น้องประชาชน และสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เพื่อให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
และเขายังพูดถึง MOU ไทย-กัมพูชาว่า “ทำประชามติเพื่อประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจ ให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา”
หลังจากนั้น บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงต่อประเด็นนี้เพิ่มเติมว่า “รัฐบาลจะจัดให้มีการทำประชามติทั้ง 2 เรื่องพร้อมกัน (ประชามติรัฐธรรมนูญและประชามติ MOU ไทย-กัมพูชา) เพื่อประหยัดงบประมาณแผ่นดิน” ซึ่งการทำประชามติทั้ง 2 เรื่องจะมีรายละเอียดดังนี้
#ประชามติรัฐธรรมนูญ
รองนายกฯ กล่าวถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า “รัฐบาลไม่ต้องการจัดทำทั้งฉบับ แต่ต้องการสนับสนุนให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ที่แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ
- ขั้นตอนที่ 1 รัฐสภาต้องพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1
- ขั้นตอนที่ 2 จัดให้มีการออกเสียงประชามติ โดยมี 2 คำถามคือ 1) เห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ 2) เห็นชอบวิธีการและเนื้อหาสาระที่รัฐสภาทำร่างรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 มาแล้วหรือไม่
#ประชามติMOUไทยกัมพูชา
บวรศักดิ์ ระบุว่า “ประชาชนคือเจ้าของอำนาจอธิปไตย ดังนั้นก็ต้องทำประชามติถามว่า เห็นชอบให้ยกเลิก MOU กับกัมพูชาหรือไม่”
ตามข้อมูลจาก iLaw ‘MOU’ ย่อมาจาก Memoredum of Understanding หรือแปลว่า บันทึกความเข้าใจ โดย MOU 43 คือ บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับกัมพูชาว่าด้วยการจัดทำหลักเขตแดนบนพื้นที่ที่อ้างสิทธิทับซ้อนกัน และ MOU 44 คือ บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ซึ่งเชื่อว่ามีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากมายมหาศาล
เอกสารทั้งสองฉบับนี้ ไม่ได้มีค่าเป็นกฎหมาย ไม่ได้มีผลผูกพันหรือสภาพบังคับ หากใครฝ่าฝืนก็ไม่มีกลไกที่จะเอาผิดลงโทษกันได้ ไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ไม่ใช่เอกสารที่ประชาชนทั่วไปได้นำมาอ่านหรือนำมาใช้จริงในชีวิตประจำวัน จึงไม่ค่อยมีใครรู้จักรายละเอียดมากนัก หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงคือกระทรวงการต่างประเทศ แต่รัฐบาลชุดใหม่กำลังมีนโยบายที่จะทำประชามติเพื่อถามประชาชนว่า จะให้ยกเลิกเอกสาร MOU ระหว่างไทยกับกัมพูชาที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 2543 หนึ่งฉบับ และที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 2544 อีกหนึ่งฉบับ โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าเนื้อหาภายในเขียนว่าอย่างไร
หลังการประชุมสภาเสร็จสิ้น วันต่อมา (30 กันยายน) อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ย้ำถึงเรื่องนี้อีกครั้งว่า การเลือกตั้งปี 2569 จะมีบัตรเลือกตั้ง 4 ใบ ได้แก่ บัตรเลือก สส.เขต, สส.บัญชีรายชื่อ, ประชามติรัฐธรรมนูญใหม่ และประชามติยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชา ว่า เรื่องนี้ต้องเร่งทำความเข้าใจให้ประชาชนรับทราบ
รัฐบาลจะประสานงานและหาความร่วมมือกับทุกฝ่าย เช่น คณะกรรมการเลือกตั้ง กระทรวงมหาดไทย เพื่อเร่งการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน ในการใช้สิทธิในบัตรลงคะแนนอย่างถูกต้อง ซึ่งนายกฯ ให้เหตุผลถึงการผลักดันให้มีบัตรเลือกตั้ง 4 ใบในคราวเดียวกัน ก็เพื่อประหยัดงบประมาณ เพราะการลงคะแนนต่อครั้ง ใช้งบประมาณราว 5,000-6,000 ล้านบาท
“การทำประชามติเรื่องนี้ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วม ไม่ใช่การโยนภาระให้ประชาชน แต่เป็นการให้เกียรติประชาชน เพราะเรื่องนี้อาจมีความแตกต่างทางความคิด ความสนใจที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทอดยาวมานาน จึงอยากสอบถามประชาชน”
นอกจากนี้ อนุทินยังกล่าวถึงการพิจารณาทบทวนยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชาว่า ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษา MOU 2543-2544 ระหว่างไทยกับกัมพูชา ดังนั้น ต้องรอผลการศึกษาก่อน และหากผลออกมามีความชัดเจนว่าไม่ต้องศึกษา หรือ MOU ดังกล่าวไม่ได้ให้ประโยชน์แก่ประเทศไทย คณะรัฐมนตรีก็อาจจะยกเลิก MOU
นายกฯ ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้โดยส่วนตัวว่า “ควรจะยกเลิก” แต่ต้องดูบริบทของ MOU ปี 43-44 ก่อนว่ามีข้อกำหนดอย่างไร เนื่องจาก MOU ทั้ง 2 ฉบับผ่านมานานแล้ว ทว่าหากประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์ก็ไม่ควรจะเก็บไว้ เพราะ MOU ไม่ได้มีความผูกพันเท่ากับสัญญา (MOA)
“MOU เป็นเรื่องของการทำความเข้าใจ หากไม่เข้าใจกันเมื่อไหร่ก็สามารถยกเลิกได้ จึงต้องรับฟังผู้รู้ในการพิจารณา ซึ่งการตัดสินใจเรื่องนี้เป็นเรื่องของ ครม.ที่สามารถตัดสินได้ ไม่ต้องรอถามความเห็นฝ่ายความมั่นคง” อนุทิน กล่าว
อ้างอิงจาก