กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องจับตากัน กรณีการเสียชีวิตของนักศึกษาชาวเกาหลีใต้วัย 22 ปี ที่ถูกทรมานในกัมพูชาจนเสียชีวิต ก่อนจะมีการเปิดโปงถึงปัญหาแก๊งอาชญกรที่ค้ามนุษย์ในกัมพูชา จนนำไปสู่ความโกรธแค้นในสังคมชาวเกาหลี และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ตึงเครียดมากขึ้น
เพื่อให้เข้าใจคดีนี้มากขึ้น The MATTER รีแคปเหตุการณ์นี้มาให้อ่านกัน
- เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ช่วงเวลาประมาณ 02.00 น. มีรายงานการพบศพในรถยนต์สีดำคันหนึ่ง ในอ่าวกำปง ประเทศกัมพูชา ซึ่งทราบในเวลาต่อมาว่า เหยื่อในคดีนี้คือ ‘พัคมินโฮ’ นักศึกษาชาวเกาหลีใต้วัย 22 ปี ถูกหลอกและบังคับให้ไปทำงานส่งยาเสพติดก่อนที่จะถูกขายให้กับแก๊งอาชญากร และถูกทุบตีจนบาดเจ็บสาหัส กระทั่งเสียชีวิต
- จากการชันสูตรศพ ตำรวจท้องถิ่น ระบุว่า พัคเสียชีวิตจากอาการหัวใจวายจากการถูกทรมาน อ้างอิงตามใบมรณะบัตร ขณะที่ร่างของเขายังคงถูกเก็บไว้ที่ห้องเย็นในกัมพูชา แม้ครอบครัวจะบอกว่าสิ่งนี้เหมือน ‘ทำให้เขาตายอีกซ้ำๆ’
ขณะที่ก่อนหน้านี้ กระทรวงมหาดไทยกัมพูชาโต้แย้งรายงานข่าวบางฉบับ โดยบอกว่าไม่ได้รับคำร้องเรียนจากครอบครัวของพัคหรือสถานทูตเกาหลี
- หลังจากนั้นในวันที่ 9 สิงหาคม ก็มีการเข้าช่วยเหลือชายชาวเกาหลีใต้อีกคนที่ถูกหลอกไปทำงานในศูนย์สแกมเมอร์ ซึ่งเป็นเพื่อนกับพัค โดยเขาบอกว่า “เขา (พัค) ถูกทุบตีอย่างรุนแรงจนเดินและหายใจไม่ได้ แม้จะได้รับการรักษาแล้วก็ตาม” เขาเล่าต่อว่า เขาถูกใส่กุญแจมือก่อนจะถูกตีด้วยท่อเหล็กและปืนไฟฟ้า หลังจากที่เขาปฏิเสธที่จะหลอกลวงผู้อื่น และถ้าใครเป็นลม หากรู้สึกตัวขึ้นมาจะถูกทุบตีซ้ำๆ
- มีข้อสังเกตว่า คดีนี้อาจจะเกี่ยวโยงกับแก๊งอาชญากรจีน โดยสำนักข่าว โชซอน อิลโบ ของเกาหลีใต้ รายงานว่า ทางการกัมพูชาได้จับกุมตัวสมาชิก 3 คนขององค์กรอาชญากรรมชาวจีนที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม แก๊งคอลเซนเตอร์ในกัมพูชา และตั้งข้อหาในฐานะผู้ต้องสงสัยก่อเหตุทรมาน และฆาตกรรม
- ขณะที่ อีอึนจู สมาชิกผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปไตย (DP) ระบุว่า “การเสียชีวิตของนักศึกษาเกาหลีในกัมพูชา แค่คิดถึงว่าหัวใจวายจากการถูกทรมานอย่างแสนสาหัส ก็ทำให้ฉันรู้สึกโกรธแค้นจนแทบคลั่ง”
นอกจากนี้ เธอยังเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาตอบสนองต่อคดีดังกล่าว และหากรัฐตอบสนองแบบไม่เต็มใจ เกาหลีใต้ก็จะพิจารณาใช้มาตรการทางทหาร เพื่อปกป้องพลเมืองของตัวเอง และจะทำให้เห็นว่าผู้ที่ก่ออาชญากรรมหรือก่อการร้ายกับชาวเกาหลีใต้จะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง
อีกทั้งยังมีการยกระดับคำเตือนการเดินทางไปพื้นที่ต่างๆ ในกัมพูชา และกระตุ้นให้ประชาชนยกเลิกหรือเลื่อนการเดินทางโดยไม่จำเป็น
- ความรุนแรงเหล่านี้ เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นจากการทำงานที่ไม่โปร่งใสของตำรวจท้องถิ่น โดยตำรวจกัมพูชาจะต้องกำหนดให้เหยื่อยื่นรายงานด้วยตนเอง และขอให้เหยื่อแสดงหลักฐานภาพถ่ายและวิดีโอที่แสดงให้เห็นว่าเป็นเหยื่อ
รายงานข่าวระบุเพิ่มเติมว่า ในอดีตเคยมีกรณีที่ตำรวจได้รับรายงานจากบุคคลที่สาม เช่น สถานทูต หรือญาติของเหยื่อ แล้วรีบรุดไปยังที่เกิดเหตุ แต่เหยื่อกลับปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยอ้างว่าไม่ได้ถูกขังไว้ และต้องการอยู่ที่ศูนย์ฯ ต่อไปเพื่อหาเงินเพิ่ม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขา (ตำรวจ) รับรายงานจากเหยื่อเท่านั้น
- จากคดีนี้ ทำให้เกิดเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมเกาหลีใต้ และเริ่มพูดถึงกรณีการล่อลวงคนวัยหนุ่มสาวไปทำงานที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนวัยหนุ่มสาวชาวเกาหลีจำนวนมากเดินทางไปกัมพูชาจากการถูกหลอกจากประกาศรับสมัครงานออนไลน์
เหยื่อเหล่านี้จะถูกหลอกด้วยเรื่องตั๋วเครื่องบินและที่พัก ซึ่งหลังจากที่เขาบินมายังกัมพูชา แต่กลับถูกลักพาตัวขึ้นรถตู้และพาไปยังศูนย์สแกมเมอร์ และยึดหนังสือเดินทางพร้อมกับโทรศัพท์มือถือ ซึ่งถ้าใครก็ตามที่ปฏิเสธจะถูกแบล็กเมล์ และถูกบังคับให้ไปหลอกลวง บางคนก็ถูกขังและทรมาน
- ควอน แทอิล ผู้อำนวยการองค์กรช่วยเหลือชาวเกาหลี ซึ่งช่วยเหลือชาวเกาหลีที่ประสบความยากลำบากในต่างประเทศให้กลับบ้านเกิด กล่าวว่า คนหนุ่มสาวบางคนที่ถูกบอกว่าจะได้รับการปล่อยตัวหากเรียกเพื่อนมาแทน สุดท้ายกลับดึงคนรู้จักของตัวเองเข้ามาร่วมด้วยก่อนจะหลบหนี
- คดีของพัคได้นำไปสู่การเปิดโปงคดีการลักพาตัวชาวเกาหลีจำนวนมากในกัมพูชา ซึ่งตัวเลขคดีในปี 2566 จาก 17 คดี เป็น 220 คดีในปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้นเป็น 330 คดีในเดือนสิงหาคมปีนี้
ขณะที่ แอมเนสตี้ รายงานว่า ได้ระบุศูนย์สแกมเมอร์ขนาดใหญ่กว่า 53 แห่งในกัมพูชา และกล่าวหารัฐบาลกัมพูชาว่า ปล่อยให้สถานที่เหล่านี้ถูกดำเนินการโดยไม่ลงมือทำอะไรเลย