คุณคิดว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นหรือจุดจบ? เมื่อธุรกิจสแกมเมอร์ที่มีเบื้องหลังเป็นบริษัทใหญ่ยักษ์ในกัมพูชากำลังถูกปราบปรามโดยนานาชาติ
วันนี้ (15 ตุลาคม 2568) สำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศ (OFAC) และครือข่ายบังคับใช้กฎหมายอาชญากรรมทางการเงิน (FinCEN) ของสหรัฐฯ ร่วมมือกับ สำนักงานต่างประเทศ เครือจักรภพและการพัฒนา (FCDO) ของสหราชอาณาจักร ประกาศยึด ‘บิตคอยน์’ มูลค่ามหาศาลจากขบวนการฉ้อโกงออนไลน์ข้ามชาติในรูปแบบ Pig-butchering (แปลให้เข้าใจอย่างง่าย คือการหลอกเหยื่อให้ตายใจ แล้วลวงให้โอนเงินในภายหลัง)
อัยการสหรัฐฯ เผยคำฟ้องโดยระบุชื่อ ‘เฉิน (วินเซนต์) จื้อ’ นักธุรกิจ และประธานบริษัท ปรินซ์ กรุ๊ป ชาวจีนที่อาศัยอยู่ในกัมพูชา ว่าอยู่เบื้องหลังทำธุรกิจฉ้อโกงออนไลน์ รวมถึงฟอกเงิน และติดสนบนกับเจ้าหน้าที่ ตลอดจนการบังคับใช้แรงงาน
นอกจากนั้น เฉินยังถูกกล่าวหาว่า เขาเปิด ‘ฟาร์มโทรศัพท์’ ในกัมพูชา ที่หลอกผู้คนมาบังคับใช้แรงงานเป็นคอลเซนเตอร์ เพื่อหลอกลวงเงินจากเหยื่ออีกทีหนึ่ง
จากพฤติกรรมนี้ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ยึดทรัพย์สินเป็นบิตคอยน์จำนวน 127,271 บิต ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราวๆ 490,000 ล้านบาท)
นอกจากนี้ OFAC ยังได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรบุคคลและนิติบุคคลอีกกว่า 146 รายที่เชื่อมโยงกับบริษัท ปรินซ์ และตัดบริษัท ฮวยวัน กรุ๊ป (Huione Group) บริษัทการเงินซึ่งมีฐานอยู่ในกัมพูชา ออกจากระบบการเงินสหรัฐฯ โดยกล่าวว่าบริษัทนี้เป็นศูนย์กลางการฟอกเงิน
ขณะที่ทางสหราชอาณาจักรได้ดำเนินการอายัดทรัพย์สินและสั่งห้ามทั้ง เฉิน จื้อและ ซู่หมี่ จื้อ ภรรยาของเขา รวมถึงกลุ่มบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเดินทางในสหราชอาณาจักรด้วย โดยเจ้าหน้าที่ได้อายัดคฤหาสน์ในลอนดอน พร้อมทรัพย์สินอื่นๆ ด้วย
“การฉ้อโกงข้ามชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้พลเมืองสหรัฐฯ เสียเงินหลายพันล้านดอลลาร์ เงินออมทั้งชีวิตของพวกเขาเสียไปภายในไม่กี่นาที” สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวพร้อมยืนยันว่ากระทรวงการคลังกำลังดำเนินปราบปรามมิจฉาชีพ และจะทำงานกับพันธมิตรอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม บริษัท ปรินซ์ กรุ๊ป มีบทบาทสำคัญในธุรกิจสแกมของกัมพูชา และควบคุมกระแสเงินทุนผิดกฎหมายหลายพันล้านดอลลาร์ และมีรายงานข่าวด้วยว่า จื้อได้ลงทุนในโครงการต่างๆ ในกัมพูชา ซึ่งรวมถึงคาสิโนด้วย โดยที่หนึ่งในคาสิโนที่บริษัทของจื้อลงทุนนั้น มีซาร์ ซกคา รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกัมพูชาเป็นหุ้นส่วนด้วย
อ้างอิงจาก