ชีวิตล้วนเต็มไปด้วยการดิ้นรน เมื่อถึงจุดหนึ่งร่างกายอาจสำแดงความมหัศจรรย์ในรูปแบบที่เกินคาดเดา
เมื่อคืนอาจจะเป็นคืนแรกๆ ที่ชาวไทย (และผู้คนหลายแห่งทั่วโลก) ได้หลับตานอนอย่างสงบ เมื่อทราบข่าวว่า 13 ชีวิต ‘หมูป่าอะคาเดมี’ ยังมีสุขภาพจิตใจและร่างกายแข็งแรง แม้จะติดอยู่ในส่วนลึกของถ้ำอันมืดมิดเป็นเวลานานถึง 10 วัน โดยปราศจากอาหารยังชีพ ต้องขอขอบคุณทีมงานทุกภาคส่วนที่ไม่หมดหวังกับภารกิจค้นหาชีวิตอันมีค่าครั้งนี้
และเราอาจต้องขอบคุณวิวัฒนาการเอาชีวิตรอดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ทำให้ร่างกายมนุษย์ยังคงเป็นพื้นที่แห่งความมหัศจรรย์ นำไปสู่คำถามที่ว่า เมื่อถึงเวลาจำเป็น “ร่างกายมนุษย์จะเข้าสู่ภาวะจำศีลได้หรือไม่?”
มนุษย์อดอาหารได้นานแค่ไหน
ช่วงเวลาเอารอดชีวิตที่ปราศจากอาหารอาศัยหลายปัจจัยที่ผันแปรร่วมกัน อาทิ น้ำหนักตัว ลักษณะเฉพาะทางพันธุกรรม สุขภาพมวลรวมร่างกาย แต่วิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่สามารถบันทึกช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดแห่งการอดอาหารของมนุษย์ได้ เพราะมันยากเหลือเกินที่จะมีใครยอมอดเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงประจักษ์เหล่านี้
มหาตมา คานธี (Mahatma Gandhi) นักกิจกรรมวิถีอหิงสาอดอาหารประท้วงนาน 21 วัน โดยจิบน้ำเพียงเล็กน้อย หรือในกรณี ข้าราชการชาวญี่ปุ่น Mitsutaka Uchikoshi ที่หายสาบสูญบนภูเขารอคโคะ (Mount Rokko) เมืองโกเบ ในปี 2006 เป็นเวลานานถึง 24 วัน โดยไม่มีทั้งน้ำและอาหาร แต่ร่างกายพยายามลดอุณหภูมิลงเรื่อยๆ จนต่ำกว่าปกติ นักวิทยาศาสตร์เริ่มสงสัยว่าร่างกายมนุษย์เองอาจได้รับมรดกทางวิวัฒนาการ ‘การจำศีล’ (hibernation) จากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเช่นเดียวกัน ซึ่งเราอาจไม่ได้ใช้งานบ่อยครั้งเหมือนสัตว์อื่นๆ ที่ใช้ในทุกคาบฤดู แต่หากถึงเวลาจำเป็นจริงๆ ศักยภาพนี้อาจสำแดงขึ้นมา
นาย Mitsutaka Uchikoshi ติดบนภูเขาสูงโดยมีอุณหภูมิร่างกายลดลงเหลือเพียง 22 องศาเซลเซียส แม้จะรอดชีวิตจนกระทั่งทีมกู้ภัยมาค้นพบ แต่เขาต้องเผชิญกับภาวะอวัยวะหลายส่วนล้มเหลว และสูญเสียเลือดปริมาณมาก เขาเริ่มหมดความรู้สึกและหมดสติเมื่ออุณหภูมิบนยอดเขาลดเหลือเพียง 10 องศาเซลเซียส ร่างกายเริ่มเข้าสู่ภาวะจำศีล อวัยวะทำงานช้าลง แต่สมองยังถูกรักษาไว้ไม่ให้ได้รับผลกระทบมากเท่าอวัยวะส่วนอื่นๆ
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ร่างกายมนุษย์เองสามารถเข้าสู่ภาวะจำศีลได้ (อย่างน้อยในเชิงทฤษฏี) ซึ่งในทางการแพทย์อาจใช้คุณประโยชน์นี้เพื่อชะลออัตราการตายของเซลล์ แล้วนำมาดัดแปลงเข้ากับการทำรักษาภาวะเลือดออกในสมองหรือภาวะฉุกเฉินถึงชีวิตอื่นๆ แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงมากมาย เมื่อทฤษฎีต้องปะทะกับการปฏิบัติในสถานการณ์จริง
ภาวะจำศีลในธรรมชาติ
การจำศีลในธรรมชาติช่วยอุดช่องว่างของวงจรชีวิต เมื่อสัตว์ไม่ต้องการเผชิญความผันแปรทางสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายตลอดเวลา ธรรมชาติจึงมีกลไกจำศีลในช่วงที่อาหารหาได้ยาก โดยร่างกายจะมีกลไกลดระดับการเผาผลาญในกระบวนการเมตาบอลิซึม อวัยวะต่างๆ ทำงานแช่มช้าลง ชีพจรเต้นช้า การหายใจและอุณหภูมิร่างกายลดลง ร่างกายจะลดการจัดสรรพลังงานไปส่วนต่างๆ
ในอาณาจักรสัตว์ พวกมันเป็นมือฉมังแห่งการจำศีล นอนนิ่งโดยไม่ต้องการอาหารและน้ำได้หลายเดือนจนถึงปี แม้กระทั่งหนูและนกฮัมมิงเบิร์ดที่ดูขยับเคลื่อนที่ตลอดเวลา พวกมันยังต้องจำศีลระยะสั้นแบบ torpor เป็นกิจวัตรเพื่อรักษาพลังงานอันมีค่าไว้
เม่นและหมีดูจะเป็นสัตว์ที่จำศีลได้ยาวนานข้ามฤดูหนาวทั้งฤดู สัตว์เหล่านี้จำเป็นต้องจำศีลทุกปี แม้ปีนั้นๆ จะมีอาหารเหลือเฟือก็ตาม พวกมันก็ไม่สามารถละเลยการจำศีลได้ สิ่งนี้เองที่เรียกว่า obligatory hibernators เป็นการที่ธรรมชาติไม่ผลีผลามเปลี่ยนแปลงอะไรโดยทันที
ลดอุณหภูมิในร่างกาย
แพทย์ใช้เทคนิคคล้ายๆ กับการจำศีลในการรักษาผู้ป่วยมาหลายทศวรรษ โดยทำให้ร่างกายคุณเกิด ‘ภาวะตัวเย็น’ (hypothermia) ด้วยการควบคุมอุณหภูมิกายให้ต่ำกว่า 35 องศาเซลเซียส หรือใช้สารเคมีบางชนิดลดระดับการเผาผลาญร่างกายลง เพื่อปกป้องเนื้อเยื่อขณะทำการผ่าตัดหัวใจเมื่อระดับเลือดหมุนเวียนต่ำลง
อุณหภูมิที่ลดลงเท่ากับว่าเซลล์ใช้ออกซิเจนน้อยลงเป็นพลวัต อวัยวะต่างๆ ลดการทำงาน ซึ่งดูเหมือนสัตว์ตามธรรมชาติจะสามารถควบคุมกลไกได้แม่นยำและคล่องแคล่วกว่ามนุษย์หลายเท่า ซึ่งการที่มนุษย์จะเข้าสู่ภาวะตัวเย็นได้ล้วนอาศัยยาสังเคราะห์ที่ไปปิดกั้นระบบการปรับอุณหภูมิกาย (thermoregulation) ในขณะที่สัตว์ไม่จำเป็นต้องใช้เลย เว้นเสียแต่คุณจะอยู่ในพื้นที่ปิด ไร้แสง ไร้สิ่งเร้า การอยู่นิ่งๆ จนนาฬิกาชีวภาพในร่างกาย (circadian clock) ถูกหลอกจากแสงและอุณหภูมิที่คงที่ คุณก็สามารถทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะตัวเย็นและจำลองการจำศีลระยะสั้นๆ
มีงานวิจัยหนึ่งที่พยายามศึกษากลไกนี้ในสัตว์ทดลอง (แฮมสเตอร์) โดยสถาบัน Institute of Cellular and Integrative Neurosciences (INCI) ในประเทศฝรั่งเศส พยายามศึกษา circadian clock หรือนาฬิกาชีวภาพ ซึ่งในการกำหนดการรับรู้ในระดับ 24 ชั่วโมง (24 hour cycles) นี้ ร่างกายจะทำงานร่วมกับประสาทการมองเห็น ‘กลางวัน/กลางคืน’ โดยเรตินาของดวงตาทำหน้าที่ตรวจจับแสงที่มองเห็นจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ก่อนจะส่งข้อมูลไปยังเซลล์พิเศษที่ชื่อว่า suprachiasmatic nucleus และ paraventricular nucleus ซึ่งจะไปควบคุมการทำงานของต่อมไพเนียล (pineal gland) อีกที ซึ่งต่อมนี้จะกำหนดว่าควรหลั่งฮอร์โมนอะไร ในช่วงเวลาไหน เพื่อที่จะทำให้ร่างกายดำเนินไปตามพลวัตของโลก
แต่เมื่อการติดอยู่ในพื้นที่อันไม่สามารถรับรู้ ‘กลางวัน/กลางคืน’ ได้ ดั่งเช่นเด็กๆ ที่ติดอยู่ในถ้ำ นาฬิกาชีวภาพจึงอยู่ในสถานะ ‘ถูกหลอก’
งานวิจัยศึกษาแฮมสเตอร์สายพันธุ์ยุโรป (European hamster) เพื่อกระตุ้นให้มันเกิดภาวะจำศีลชั่วคราว ผ่านการควบคุมสภาพแวดล้อมต่างๆ ให้หนูไม่สามารถรับรู้ช่วงเวลาได้ ทีมวิจัยพบว่า หนูขาดการรับรู้เวลาระดับ 24 ชั่วโมง ร่างกายของมันจะค่อยๆ ทำงานช้าลง ระดับการเผาผลาญร่างกายลดต่ำ มีอัตราการใช้ออกซิเจนที่น้อยลง จนกระทั่งหนูอยู่ในภาวะจำศีลชั่วคราว โดยเห็นความเชื่อมโยงอันเป็นประจักษ์ว่า เมื่อหนูจำศีล การรับรู้กลางวันกลางคืนจะปิดกั้นโดยสิ้นเชิง เมื่อ clock gene ลดการตอบสนองต่อสิ่งเร้า ร่างกายจึงทำงานช้าลง ทำให้มีชีวิตยืดได้นานขึ้น โดยที่ไม่ได้รับน้ำและอาหาร
อย่างไรก็ตามเรายังไม่สามารถแน่ใจได้ว่า หากกลไกนี้ทำงานกับมนุษย์ หรือมนุษย์สามารถจำศีลได้จริงจะเกิดผลกระทบทางร่างกายด้านลบในระยะยาวอย่างไรบ้าง เพราะในด้านจิตใจ กลไกทางอารมณ์ยังอยู่ภายใต้เคมีที่ซับซ้อน กระบวนการเข้าสู่จำศีลค่อนข้างทรมานสาหัส เนื่องจากคุณต้องอยู่ภายใต้ความกดดันของสิ่งแวดล้อมที่บีบมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อนักวิทยาศาสตร์เองยังไม่มีกระบวนการวิจัยที่ปลอดภัยที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ ภาวะจำศีลจึงเป็น ‘ทฤษฏี’ มากกว่าจะมีใครปฏิบัติจนเห็นผลจริง แต่จากเหตุการณ์รอดชีวิตหลายครั้งๆ ก็บ่งบอกเป็นนัยได้ว่า
ร่างกายมนุษย์ทำเรื่องมหัศจรรย์ได้มากกว่าที่คาดเดา เราล้วนยืดหยุ่นโอนอ่อน หรือบางครั้งต้องดุดันฟาดฝันต่อความท้าทายของธรรมชาติด้วยวิวัฒนาการที่เราแชร์ร่วมกันผ่านสิ่งมีชีวิตต่างๆ มากว่า 500 ล้านปี
มนุษย์เข้าถ้ำและถูกช่วยออกจากถ้ำอีกครั้ง แต่สิ่งที่อาจทรงพลังเหนือกลไกของร่างกายและวิวัฒนาการ คือความพยายามสามัคคีที่ทุกคนมีร่วมกันจนภารกิจลุล่วง
อ้างอิงข้อมูลจาก
The circadian clock stops ticking during deep hibernation in the European
www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1959465
Neuropsychological mechanisms of interval timing behavior.
www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/10649295