ทักษะในการอ่านอารมณ์ของพวกเรามักคลาดเคลื่อนอยู่เสมอ มันทำให้เรามองเหตุผลด้วยสายตาที่พร่ามัว โดยเฉพาะความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ที่หลายคนเชื่อว่า ‘มีมากๆแล้วจะดี’ แต่ทำไมหลายครั้งมันกลับหวนมาทำร้ายเรา? สังคมที่เสพติดความเห็นใจจนเกินไปสร้างทางออกหรือสร้างปัญหามากกว่ากัน?
ความเห็นอกเห็นใจ เป็นคุณสมบัติเชิงบวกที่สังคมของเราให้ความนิยมชมชอบ เมื่อคุณเห็นใครสักคนตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่สังคมเองจะคาดหวังให้คุณต้องยื่นมือสักข้างเข้าไปช่วยเหลือเสมอ โอบอุ้มพวกเขาขึ้นมา หลายครั้งมันสามารถเปลี่ยนชีวิตผู้คนที่โชคร้ายให้กลับมายืนขึ้นอีกครั้ง
แต่ทุกความเห็นอกเห็นใจแอบซ่อนความมืดมิดบางอย่าง มันดูดกลืนพลังของพวกเราไปอย่างมหาศาล โดยเฉพาะผู้ที่อ่อนไหวง่ายต่อสิ่งเร้า พวกเขาค่อนข้างเผชิญหน้ากับความท้าทายในการชั่งตวงอารมณ์อันเปราะบาง เพราะในความเห็นอกเห็นใจเองก็ยังเรียกร้องพลังอย่างสูงเป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งบางครั้งความหน้ามืดตามัวกลับทำให้สังคมมักเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจอย่างผิดวิสัยธรรมชาติด้วยซ้ำ
ในโลกออนไลน์มีเรื่องให้น่าเห็นอกเห็นใจทุกนาโนวินาที มีคนจำนวนไม่น้อยอ่อนไหวต่อภาพและเสียง หรือชุดถ้อยคำที่เรียบเรียงอย่างสละสลวย ซึ่งล้วนกระตุ้นให้เรามีอารมณ์ร่วมอยากเป็นส่วนหนึ่งอย่างเร่งด่วน ไม่แปลกที่การแสดงความเห็นอกเห็นใจผ่านทาง Social Media จะเป็นโมเดลที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
ความเห็นอกเห็นใจไม่ได้ดูดซับอารมณ์เพียงจากคนที่เราเพิ่งคุยกันซึ่งหน้า แต่เราเก็บเกี่ยวความรู้สึกทั้งหมดจากสภาพแวดล้อมที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย แสง สีเสียง อุณหภูมิ บทสนทนาที่ผ่านมากับลม (เคยมีงานวิจัยว่า การที่คุณถือถ้วยกาแฟอุ่นๆ ไว้ในมือทำให้คุณรู้สึกเห็นอกเห็นใจกับคนที่คุณคุยอยู่ได้ เพราะประสาทรับรู้ความรู้สึกและสมดุลของอุณหภูมิร่างกายทำงานสอดคล้องกันอย่างไม่น่าเชื่อ)
หลายคนที่มีลักษณะอ่อนไหวสูง เคยกล่าวว่า พวกเขามองความเห็นอกเห็นใจ ‘เปรียบเสมือนคำสาป’ มากกว่าจะเป็นพรจากสวรรค์ มันทำให้เขามีความรู้สึกร่วมหมดกับทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว จนมักตัดสินใจผิดพลาดบ่อยครั้ง ใช้จ่ายเงินสนับสนุนสิ่งต่างๆ อย่างไม่รู้ตัว แล้วมักรู้สึกว่าคนรอบๆ ตัวมีสถานะเป็น ‘ลูกหนี้’ ที่ต้องคอยตรวจเช็กว่า พวกเขาใช้ความเห็นอกเห็นใจที่ตัวเองได้ให้ไปอย่างไร
สุดท้ายมักลงเอยด้วยความอกหัก เพราะก็เที่ยวให้ใจใครๆ ไปซะหมด
ใครๆ ก็อยากช่วยโลกไม่ใช่หรือ?
ผู้คนที่อ่อนไหวล้วนอยากจะออกมาช่วยโลกกันทั้งนั้น พวกเราไม่สามารถยืนหยัดอยู่บนความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน และความรุนแรงทางอารมณ์ได้ยาวนาน แต่โลกแท้จริงกลับเต็มไปด้วยสรรพสิ่งที่มีเจตจำนงอันหลากหลาย (และส่วนใหญ่คือความเจ็บปวดเป็นส่วนใหญ่) คนที่อ่อนไหวไปกับทุกคลื่นความรู้สึกมักต้านทานความแตกต่างนี้ได้ไม่ดีนัก พวกเขาดูดกลืนมวลอารมณ์โดยปราศจากการยับยั้งชั่งใจ
ในทางจิตวิทยานั้น เรียกกระบวนการนี้ว่า ‘การตระหนักรู้ในการยับยั้งช่างใจ (Cognitive Disinhibition)‘ แต่ละคนจะมีตัวกรองความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันเลยสักคนเดียว จะหนาหน่อย จะบางหน่อย ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตที่ลองผิดลองถูกจนก่อให้เกิดเป็นตัวกรอง ‘Cognitive Filter’ ชั้นแล้วชั้นเล่าว่าอะไรที่ควรรับ อะไรที่ไม่ควรรับ อะไรที่ปล่อยผ่านได้ และอะไรที่ไม่ควรซุกไว้ใต้พรม
แต่เราต้องยอมรับว่าคนจำนวนไม่น้อยมี Cognitive Filter บางเฉียบ แต่ก็ดันอยากจะช่วยโลก เมื่อเผชิญกับความท้าทายของโลกที่เป็นจริง มันไม่ได้ห้อมล้อมไปด้วยโอกาสและเติมเต็มความคาดหวังได้ทุกครั้ง พวกเขาจะรู้สึกหมดเรี่ยวแรงและหมดศรัทธาอย่างง่ายดาย แล้วมันจะเริ่มเลวร้ายที่สุด เมื่อพวกเขาพยายามช่วยเหลือคนอื่นเพื่อแก้ปมของตัวเอง
วัฏจักรเดิมๆ จึงทำงานแบบครบวงจร เพราะ พวกเขาไม่ได้พยายามช่วยเหลือคนอื่นเพื่อแก้ปัญหา แต่เพียงเพื่อบำบัดตัวเองจากภาวะไร้สมดุล
ทำไมเจ็บฉัน อาจไม่เท่าเจ็บเธอ?
เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วที่นักจิตวิทยา นักประสาทวิทยา และนักปรัชญา พยายามตั้งคำถามกับความเห็นอกเห็นใจที่ระเบิดขึ้นมาจนเราต้องทำอะไรสักอย่าง นักวิจัยส่วนหนึ่งมีหลักฐานว่าพวกเขาใช้องค์ความรู้ในมิติของประสาทวิทยา (neuroscience-based) โดยเชื่อมโยงว่าสมองของพวกเรา มีเซลล์ประสาทที่เรียกว่า ‘เซลล์กระจกเงา (Mirror Neuron)’ ที่ทำหน้าที่รับ Input ความรู้สึกจากผู้คนและสภาพแวดล้อมรอบๆมักทำงานเพื่อลอกเลียนความรู้สึก ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เราก่อสร้างสังคมและมีชีวิตรอดผ่านประสบการณ์ของผู้อื่น
ทีมวิจัยชาวอิตาลีรายงานการค้นพบ Mirror Neuron ในปี 1990 โดยทดสอบกับ ‘ลิงแม็กแค็ก’ เมื่อลิงที่ถูกทดสอบเห็นลิงตัวอื่นทำกิจกรรมต่างๆ ในห้องทดลอง มันก็พยายามจะเลียนแบบบ้าง โดยกระบวนการทั้งหมดในสมองลิงจะถูกจับตามองด้วยคลื่นสัญญาณสมอง พบว่านิวรอนเฉพาะนี้มักทำงานตอบสนองอยู่เสมอๆ จนเริ่มมีการนิยามมันขึ้นมาใหม่
แต่กระนั้นก็ยังไม่มีนักวิจัยที่กล้าเคลมอย่างจริงจังว่าเซลล์กระจกเงามีอิทธิพลต่อความเห็นอกเห็นใจของมนุษย์หรือไม่ จนเป็นเวลากว่า 10 ปีที่ผลงานวิจัยเรื่อง Mirror Neuron ถูกเก็บในกรุและจัดให้เป็น ‘การค้นพบทางประสาทวิทยาที่ถูกมองข้ามมากที่สุด’
พวกเขาพบในลิงก็จริงแล้วในมนุษย์ล่ะ?
กว่าจะได้ศึกษากับมนุษย์ ก็ล่วงเลยมาปี 2004 โดยนักประสาทวิทยา Tania Singer ทดลองใช้เทคโนโลยี ‘Magnetic Resonance Imaging (MRI)’ สร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากับอาสาสมัคร 32 คน จากนั้นจำลองสถานการณ์ช็อกไฟฟ้ากับเหยื่อที่ทำการทดลองรายหนึ่งด้วยความรุนแรงระดับต่างๆ จนแสดงความรู้สึกเจ็บปวด (ซึ่งเป็นการแสดงตบตา) อาสาสมัครส่วนใหญ่รู้สึกว่าตัวเองกำลังเห็นความทรมานและรู้สึกร่วมไปกับความเจ็บปวด
การทดลองนีอาการเสพติดความเห็นอกเห็นใจ – เจ็บปวด แต่ไม่เคยพบว่ามนุษย์อย่างเราๆ ก็มี Mirror Neuron ตำแหน่งที่ใกล้เคียงกันกับลิงแม็กแค็ก แสดงว่าสมองของเราก็รับรู้ความรู้สึกจากผู้อื่นมาประมวลผลการตัดสินใจต่างๆ เช่นกัน
thy
กลุ่มก่อการร้าย ISIS เคยใช้กลยุทธ์นี้ในการชักนำผู้ร่วมอุดมการณ์หน้าใหม่ๆ โดยมักเลือกกลุ่มคนที่มีความอ่อนไหวง่าย ชอบแสดงออกว่าเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ISIS มักผลิตสื่อที่มุ่งทำให้จิตใจคนอ่อนไหว หว่านล้อมให้พวกเขาเปราะบางกว่าเดิม มีสาวอังกฤษ 2 ราย รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนจนต้องเข้าร่วมสงครามโดยอยู่ในฝ่าย ISIS เพราะเชื่อว่าการร่วมสงครามของพวกเธอสามารถลดความทุกข์ทรมานของเด็กๆในซีเรียได้
ความเห็นอกเห็นใจเองมีแง่มุมที่เจ็บปวดอยู่บ้าง และคนที่อ่อนไหวง่ายต่อกระแสความรู้สึก มีชั้นกรองอารมณ์ที่บอบบางก็มักตกเป็นเหยื่อของคนที่จ้องจะหาประโยชน์
ลองสำรวจตัวเองดูว่าคุณเป็นคนขี้เห็นอกเห็นใจระดับไหน รู้ลิมิตในการให้แค่ไหน ครั้งต่อไปที่มีใครมาขอความเห็นใจ คุณจะได้ยั้งตัวเอาไว้ได้สักก้าวหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกโซเชียลที่การเรียกร้องความสงสารและการให้ความเห็นใจทำได้เพียง คลิก เดียว
อ้างอิงข้อมูลจาก
Illustration by Namsai Supavong