ใครว่า ‘พรสวรรค์’ ค้นพบได้ในช่วงวัยเด็กเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าคุณจะมีอายุมากแค่ไหนก็ตาม คุณยังสามารถค้นพบพรสวรรค์แอบแฝง (hidden talent) ได้ทุกเมื่อ
แม้จะยืนยันว่ารู้จักตัวเองจนเห็นด้านบวกและลบมาครบทุกมิติแล้วก็ตาม แต่เชื่อเถอะ! ยังมีความสามารถอีกมากที่รอคอยการค้นพบอยู่ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ โดยไม่ใช่เพียงแค่ความบังเอิญ วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ว่า ความสามารถอันเอกอุช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ กล้าที่จะทำอะไรใหม่ๆ และกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ตั้งแต่ความสามารถทางกีฬา การตัดสินใจในช่วงเวลาขับขัน ใบหน้าแห่งการเป็นผู้นำ และจมูกที่ดีเลิศแยกแยะกลิ่นในขณะคนอื่นทำไม่สามารถ
The MATTER รวบรวมทักษะไม่เกี่ยงอายุ ที่คุณอาจบังเอิญเจอเข้าสักวัน …อยู่กับตัวมาตั้งนาน ก็เพิ่งรู้ว่าเรามีดี!
1. Super taster
ยอดนักชิม & ดมขั้นเทพ
การที่คุณจะก้าวมาเป็นนักวิจารณ์อาหารระดับแถวหน้าได้ นอกจากลิ้นของคุณจะต้องรับรสได้ไม่ผิดเพี้ยนแล้ว ยังต้อง ‘จมูกดี’ แยกแยะกลิ่นที่ซับซ้อน หากอาหารไร้ซึ่งกลิ่น ความยั่วยวนใจก็คงลดลงไปเยอะ แต่น้อยคนเท่านั้นที่จะมีจมูกระดับเทพ ซึ่งคุณอาจเพิ่งมารู้ตัวตอนเดินผ่านร้านเบเกอรี่กับเพื่อน แต่ดันได้กลิ่นเพียงคนเดียว (แต่ถ้าได้กลิ่นธูป แสดงว่ามีเจ้ากรรมนายเวรติดตาม)
สถาบันวิจัยที่ศึกษาด้านรสชาติอาหาร MMR ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัย University of Reading แห่งอังกฤษมีกระบวนการทดสอบแยกแยะกลิ่นที่พิเศษมากๆ จนกล่าวได้ว่า มีมนุษย์บนโลกเพียง 10% เท่านั้นที่จะแยกแยะได้
พวกเขาจะเอาสำลีที่ชุบกลิ่นต่างๆ มาทดสอบคุณว่ามันคือกลิ่นอะไร จากนั้นจะให้จิบน้ำในถ้วยที่มีรสชาติมากมายเพื่อให้คุณพยายามเขียนลงกระดาษว่ามันน่าจะมีส่วนผสมของอะไรบ้าง ขม หวาน เปรี้ยว เค็ม หรืออูมามิ มีการคาดคะเนว่าการทดสอบของ MMR มีคนผ่านเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น เนื่องจากอิทธิพลของ PTC ยีนควบคุมการรับรู้รสขม ยีนที่น้อยคนจะมีติดตัว
จากนั้น MMR จะคำนวณค่าเป็นเปอร์เซ็นต์ว่าคุณมีการรับรู้รสดีแค่ไหน ยิ่งลิ้นคุณมีปุ่มรับรสที่ตอบสนองต่อรสชาติได้มากเท่าไหร่ คุณก็มีโอกาสรับรสที่คนอื่นสัมผัสไม่ได้มากเท่านั้น โดยคนทั่วไปจะมีปุ่มรับรสอยู่ 20 ตำแหน่งภายในพื้นที่บนลิ้นขนาดเท่าหัวยางลบดินสอ แต่ยอดนักชิม (super taster) อาจมีมากถึง 50 ตำแหน่งภายในพื้นที่เท่าๆ กัน
คุณสามารถลองชิมสมุนไพรต่างๆ เพื่อฝึกให้ลิ้นเรียนรู้รสชาติที่ซับซ้อน จากนั้นจดชื่อ แล้วลองแบ่งกันชิมกับเพื่อนๆ ดูว่าได้รสชาติใกล้เคียงหรือไม่ ทำเป็นเล่นไป คุณอาจจะมีลิ้นทองคำโดยไม่รู้ตัว!
2. Leader face
ใบหน้าแห่งผู้นำ
เอาจริงๆ พวกเราน้อยคนนักที่จะมีตำแหน่ง ‘ผู้นำ’ (leader) ที่ต้องปกครองผู้อื่น แต่คุณก็อาจจะแอบสงสัยตัวเองบ้างใช่ไหมว่า “ถ้าฉันมีโอกาส ฉันก็น่าอาจจะเป็นผู้นำที่ดี?” หรือคุณอาจรู้สึกว่า ผู้นำที่มีอยู่กลับไม่ได้มีคุณสมบัติของผู้นำเลยสักนิด
หากคุณถามทีมวิจัย University of Amsterdam พวกเขาจะเอากรอบด้านวิวัฒนาการชีวิตมาตอบ เมื่อบรรพบุรุษของเราในอดีตอาศัยเป็นกลุ่มเล็กๆ และต้องเผชิญกับภัยท้าทายบ่อยครั้ง เราจึงจำเป็นต้องการผู้นำที่ดีเพื่อมีชีวิตรอดและคงไว้ซึ่งสวัสดิภาพในฝูง ผลที่ได้คือ มนุษย์มีพัฒนาการบุคลิกภาพภายนอกของการเป็นผู้นำ ซึ่งอาจจะเป็นลักษณะทางกายภาพที่เห็นได้ชัดเจน เช่น ร่างกายใหญ่โต กำยำ ตัวสูง หรือมีโครงใบหน้าที่ออกไปทางเพศชาย (masculine) จากงานศึกษาของ Allen Grabo ระบุว่า หากคุณมีใบหน้าอ่อนเยาว์ ผู้คนจะมอบความรู้สึกของการเป็นผู้นำที่เน้นด้านการเปลี่ยนแปลง ส่วนใบหน้าผู้ใหญ่ที่ดูสุขุมจะดูเป็นผู้นำที่เน้นความมั่นคงเป็นเสาหลักที่พึ่งพิงได้
โครงสร้างใบหน้าเป็นอิทธิพลของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (testosterone) ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่จะยังไม่เด่นชัดจนกระทั่งคุณค่อยๆ เติบโต (หรือหาทางลัดด้วยการทำศัลยกรรม) เมื่อเข้าสู่อายุ 30 ใบหน้าของพวกเราจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงเร็ว
ลองส่องกระจกดูว่า คุณมีใบหน้าพร้อมเป็นผู้นำหรือไม่ แต่ผู้นำที่ดีอาศัยหน้าตาอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ! มันเป็นหนึ่งในองค์ประกอบร่วมเท่านั้น
3. Sport muscles
กล้ามเนื้อนักกีฬา
ไม่จำเป็นที่คุณจะเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็กๆ เพื่อเป็นยอดนักกีฬาระดับโอลิมปิก แต่คุณต้องมีพรสวรรค์พิเศษที่คนอื่นไม่มี ในการแข่งขันกีฬา 2012 Olympics จัดขึ้นในกรุงลอนดอน นักกีฬาเรือพายสาว Helen Glover คว้าเหรียญทองได้สำเร็จ โดยที่เธอใช้เวลาเพียง 4 ปีเท่านั้นสู่การเป็นนักกีฬาโอลิมปิก ก่อนหน้านี้เธอเป็นครูโรงเรียนประถมและไม่เคยจับไม้พายเลยสักครั้งเดียว เป็นไปได้ไหมที่คุณจะมาค้นพบพลังร่างกายที่หลบซ่อนอยู่ตอนโตแล้ว
ทีมวิจัยของ Kingston University พบว่า กล้ามเนื้อของคุณอาจมีองค์ประกอบพิเศษเหนือคนอื่น ซึ่งแบ่งกล้ามเนื้อได้เป็น 2 ประเภท
Type 1 เส้นใยกล้ามเนื้อของคุณมีลักษณะ slow-twitch แบบกระตุกช้า เหมาะกับกีฬาที่เน้นลูกอึด อย่างการวิ่งมาราธอนและพายเรือ ส่วน Type 2 เป็นเส้นใยกล้ามเนื้อลักษณะ fast-twitch แบบกระตุกเร็วที่ทรงพลัง แต่ก็ล้าเร็วเช่นกัน เหมาะกับกีฬาประเภทยกน้ำหนักและชกมวย ซึ่งตลอดชีวิตเรากล้ามเนื้อเหล่านี้มีอัตราเปลี่ยนแปลงน้อย และยังมีอีกหนึ่งปัจจัยคือ ระดับออกซิเจนที่ร่างกายนำไปใช้ อันมีผลให้คุณอึดขึ้นสามารถฝึกฝนได้เช่นกัน
โดยเฉพาะการมียีน (gene) ที่มีฟีโนไทป์ชั้นดี แม้ผลของยีนอาจสังเกตไม่ได้ด้วยตาเปล่า เพราะบางยีนไม่ได้แค่เพิ่มกล้ามเนื้อ แต่สามารถเร่งกระบวนการเมแทบอลิซึมและความจุปอดที่เกินกว่าความสามารถของคนปกติ เมื่อประสบอุบัติเหตุนักกีฬายังฟื้นตัวเร็วกว่าด้วย ด้วยการกลายพันธุ์ของคุณทำให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง การขนถ่ายออกซิเจนจึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและราบรื่นมากกว่าคนปกติอีกเช่นกัน
ดังนั้นการที่คุณจะค้นพบพรสวรรค์นักกีฬา คุณก็ต้องออกไปเล่นบ่อยๆ และหมั่นฝึกซ้อมในพรสวรรค์ที่มันเวิร์กที่สุด มาราธอนครั้งหน้าคุณอาจติด 1 ใน 100 นักวิ่งก็ได้
4. Risk intelligent
นักตัดสินใจที่เฉียบขาด
เป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษ ที่งานวิจัยด้านพฤติกรรมศาสตร์หลายชิ้นพยายามไขกลไกการตัดสินใจมนุษย์ (decision-making) ในช่วงเวลาที่ขับขัน และเป็นอันเอกฉันท์ว่า พวกเราส่วนใหญ่มัก ‘ล้มเหลว’ เวลาต้องตัดสินใจภายใต้ภาวะหน้าสิ่งหน้าขวาน มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่สามารถก้าวผ่านอคติส่วนตัว ตัดสินใจได้อย่างแม่นยำในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด
คนๆ นั้นอาจเป็นคุณหรือไม่? พรสวรรค์นี้จำเป็นอย่างยิ่งยวดในชีวิตการทำงานและชีวิตประจำวัน ใครตัดสินใจได้เฉียบขาดกว่ามักได้เปรียบ
ทีมวิจัยจาก Michigan Technological University พบว่าการตัดสินใจภายใต้ความเสี่ยง ถือเป็นความฉลาดรูปแบบหนึ่ง โดยนิยามมันว่า risk intelligent พวกเขาจะมีชุดคำถามให้ ไม่ได้โฟกัสไปที่คำตอบผิดหรือถูก แต่เน้นว่าคุณมีความมั่นใจที่จะเลือกคำตอบนั้นภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ หรือไม่ พูดอีกนัยหนึ่งคือ ‘รู้ว่าทำอะไรได้หรือไม่ได้’
เช่นเดียวกับการตัดสินใจ ไม่มีใครเลือกเส้นทางได้ดีที่สุด แต่มันจะถูกลับให้คมเรื่อยๆ จากการรับฟัง feedback จากคนอื่นๆ ว่าคุณตัดสินใจไปแล้วส่งผลดีหรือผลเสียอย่างไร ครั้งหน้าจะเลือกได้ดีกว่าเดิมไหม risk intelligent จึงเกิดขึ้นได้ผ่านการฝึกฝน ที่ต้องการความมั่นใจเป็นแรงผลักดัน
ทุกครั้งที่คุณไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนที่ไม่ยอมตัดสินใจอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หากคุณก้าวเข้ามาเป็นโต้โผในการเลือกแล้วเพื่อนๆ เห็นด้วยเสมอ คุณอาจจะเป็นนักตัดสินใจที่เฉียบคมผ่านการฝึกฝนแบบไม่รู้ตัวก็ได้
5. Working memory
พรสวรรค์แห่งความจำ
อะไรคือหัวใจของอัจฉริยะที่ทุกคนมีร่วมกัน เป็นคำถามที่นักวิจัย Joanne Ruthsatz จากมหาวิทยาลัย Mansfield พยายามหาคำตอบในเรื่องที่มักเป็นข้อถกเถียงอยู่เสมอว่า ระหว่างอัจฉริยะล้วนติดตัวมาตั้งแต่เกิดในเชิงชีววิทยา หรือผ่านการหล่อหลอมด้วยสภาพแวดล้อม หรือต้องอาศัยทั้ง 2 อย่างควบคู่กัน เธอจึงลงมือศึกษาเด็กๆ 8 คนที่มีอายุไล่เลี่ยกัน ที่แต่ละคนต่างมีพรสวรรค์พิเศษหลายแขนง เช่น เล่นดนตรีเก่ง ทำอาหารเก่ง คำนวณเป็นเลิศ มีทักษะวาดภาพ หรือพูดได้หลายภาษา สิ่งที่นักวิจัยค้นพบคือ ไม่ว่าเด็กๆ จะเก่งอะไรก็ตาม พวกเขาล้วนมี working memory หรือ ความทรงจำใช้งาน ที่เป็นเป็นการรักษาข้อมูลแบบ active ในพื้นที่เก็บความจำระยะสั้นแล้วสามารถเรียกคืนได้อย่างฉับไว อันเป็นพื้นฐานเพื่อต่อยอดไปสู่ทักษะอื่น
ความทรงจำแบบ working memory จำเป็นมากต่อการเรียนรู้และพัฒนา เพราะมันทั้งรักษาข้อมูลและทบทวนซ้ำในเวลาเดียวกัน กล่าวได้ว่า คนที่มี working Memory ดี สามารถรับภาระทางข้อมูลได้มาก อ่านหนังสือแล้วจำได้เยอะ หรือทดลองทำอะไรนิดหน่อยก็หาทางลัดให้ตัวเองได้
มีการทดสอบง่ายๆ ระดับพื้นฐานจาก Cambridge Brain Sciences ว่าคุณมี working Memory ติดตัวอยู่แค่ไหน โดยลองให้เพื่อนอ่านชุดตัวเลขให้คุณจำ แล้วท่องแบบกลับหน้ากลับหลังโดยไม่ผิด เริ่มจากตัวอักษรชุดละ 3 ตัว เช่น 134 945 ท่องไปกลับโดยไม่พลาด จากนั้นเพิ่มตัวเลขขึ้นเรื่อยๆ เป็น 4 หรือ 5 จนถึง 6
คนอายุ 30 ปี มักมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 5–6 ตัวเลข คนอายุ 50 อยู่ที่ 5 ตัวเลข และคนอายุ 60 อยู่ที่ 4 ตัวเลข (กดดันเลยล่ะสิ)
โชคดีที่ working Memory สามารถฝึกฝนให้เฉียบคมได้เสมอโดยไม่จำกัดอายุ หากสมองของคุณมีการเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่ตลอด อย่าลืมทานปลาทะเลที่มี omega 3 ด้วย เพราะมีส่วนในการพัฒนาความทรงจำ
6. Super senses
ความรู้สึกระดับซูเปอร์ละเอียดอ่อน
เคยนั่งๆ อยู่แล้วสัมผัสได้ว่า ร่างกายของคุณกำลัง ‘ทำงานอยู่’ หรือเปล่า แน่นอน! มันต้องทำงานสิไม่แปลก แต่บางคนสามารถรับรู้ละเอียดถึงกลไกการทำงานของร่างกายได้อย่างเบาะๆ เช่น นับจังหวะหัวใจเต้นได้ โดยไม่ต้องวัดชีพจรเลย ซึ่งอาจจะฟังดูพิลึก แต่การรับรู้ในระดับละเอียดมากๆ เป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่ง บ้างก็ว่าเป็นคำสาปในเวลาเดียวกัน
คนที่อ่อนไหวต่อการรับรู้ภายในเช่นนี้ เรียกว่า ภาวะ interoceptive sensitivity มักมีอาการ ‘สังหรณ์ใจ’ หลายรูปแบบ พวกเขามักรับรู้ภัยอันตรายได้อย่างรวดเร็ว ไหวตัวเร็วเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง และจดจำความรู้สึกได้ละเอียดอ่อนมากกว่าคนอื่น ซึ่งเกิดจากสิ่งเร้าภายนอกกระตุ้นประสาทรับสัมผัสแล้วส่งต่อไปยังสมองส่วน insular cortex ที่มีอิทธิพลควบคุมด้านอารมณ์
คนเหล่านี้อ่อนไหวง่าย มีความเป็นศิลปินสูง รู้สึกถึงความซับซ้อนของอารมณ์ได้มากกว่า แต่ก็อย่างที่ว่า พรสวรรค์นี้อาจเป็นดาบสองคมเช่นกัน ถึงขั้นถูกหาว่าเป็นพวก emotional ที่ใช้อารมณ์ฟุ่มเฟือย อย่างไรก็ตามคนที่มีภาวะ interoceptive sensitivity มีแนวโน้มที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นสูง รู้สึกมีส่วนร่วมกับสรรพสิ่ง ความสามารถนี้หากดึงข้อดีมาใช้จะช่วยพัฒนาทักษะสร้างสรรค์อื่นๆ ด้วย
ลองทดสอบดูว่า คุณสามารถนับการเต้นของหัวใจโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยใดๆ ได้หรือไม่ ปลายนิ้วเมื่อลูบไล้วัตถุต่างๆ แล้วรู้สึกถึงพื้นผิวละเอียดอ่อนกว่าคนอื่นหรือเปล่า แต่ตามปกติแล้วการทดสอบจะใช้เทคนิค biofeedback เพื่อดูอัตราการตอบสนองต่อประสาทสัมผัสที่มักทำในห้องทดลอง
คนที่อ่อนไหวต่อสัญญาณชีวิตมักไม่ใช่คนที่ซึมเศร้าง่าย เพราะพวกเขารับรู้ถึงการมีชีวิตตลอดเวลา และไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงของอาการซึมเศร้า (depression) อย่างที่เคยเข้าใจกันในอดีต ตรงกันข้ามกับคนที่มีการรับรู้อารมณ์ต่ำที่มักอยู่ในกลุ่มเสี่ยงภาวะซึมเศร้ามากกว่า
ถ้าคุณเป็นคนที่อินกับอะไรมากๆ จะเรียกว่าพรสวรรค์หรือคำสาปดีล่ะ?
อ้างอิงข้อมูลจาก
- Interoceptive Sensitivity and Self-Reports of Emotional Experience
- Do You Have the Face of a Leader?
- Child prodigy: A novel cognitive profile places elevated general intelligence, exceptional working memory and attention to detail at the root of prodigiousness
- Risk Intelligence: How to Live with Uncertainty